อาจารย์หยาง เผยเซินกล่าวว่า หยวนซี่ของมนุษย์ทุกคนจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 16 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ และจะค่อยลดลงจากการใช้ชีวิตของแต่ละคน สำหรับคนที่มีการดูแลสุขภาพที่ดี ใส่ใจทั้งเรื่องอาหารและการดูแลตัวเองก็จะมีพลังหยวนซี่อยู่มาก และจะส่งผลให้คนๆ นั้น แก่ช้า แต่หากคนไหนใช้ชีวิตหนัก อาทิ ดื่มเหล้า ไม่รักษาสุขภาพ ก็จะทำให้หยวนซี่ลดลงและมีผลทำให้คนนั้นดูแก่กว่าวัย และอายุไม่ยืนยาวนั่นเอง
นอกจากนี้ เสี่ยวโจวเทียน ถือเป็นแพทย์ทางเลือกสาขาหนึ่ง ที่จะช่วยในเรื่องของการทำงานของระบบสมอง โดยเมื่อเราฝึกเสี่ยวโจวเทียนเป็นประจำ จะส่งผลให้คลื่นสมองทำงานอยู่ในระดับ คลื่นอัลฟา (Alpha brainwave) ซึ่งคลื่นอัลฟามีความถี่ระหว่าง 9-13 รอบ ต่อวินาที มีจังหวะที่ช้า และมีพลังงานมากกว่าคื่นเบต้า ซึ่งจัดว่าเป็นคลื่นสมองที่มีระเบียบ เป็นคลื่นแห่งการผ่อนคลายจินตนาการและความคิด เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นใน "สภาวะจิตใจสงบ สมดุล แต่มีความตื่นตัว"
อาจารย์หยาง เผยเซิน กล่าวต่ออีกว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึก ด้านแรก คือการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย การฝึกเสี่ยวโจวเทียนจะส่งผลให้ร่างกายของเราคืนความหนุ่มสาว ไม่แก่ชรา และช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ สุขภาพจะกลับคืนความแข็งแรง บำบัดโรค ซึ่งโดยปกติแล้ว คนที่รู้จักวิธีรักษาสุขภาพใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง พลังชีวิตจะถูกใช้อย่างสมดุล ในทางกลับกัน บางคนไม่รักษาสุขภาพเที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตอย่างไม่มีขอบเขต การใช้พลังชีวิตก็จะมากกว่าผู้อื่น พลังชีวิตจึงหมดเร็ว และอายุก็ไม่ยืนยาว การออกกำลังกายหรือฝึกชี่กงแบบทั่วไปอาจจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดีขึ้น แต่ก็เป็นเพียงการทำให้พลังชีวิตหมดช้าลง ไม่สามารถเพิ่มพลังชีวิตคืนความเป็นหนุ่มสาวกลับมาได้ อีกทั้งการนั่งฝึกเสี่ยวโจวเทียนจะช่วยให้ผู้ฝึกจิตใจผ่องใส ปลอดโปร่ง สติปัญญาดีขึ้น ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง คิดอย่างเป็นระบบ เนื่องจากสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่ และเรียนรู้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
การฝึกเสี่ยวโจวเทียนต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะอยู่ในขั้นที่ 1 จนถึงขั้นสำเร็จ คือขั้น 16 โดยจะมีอยู่ท่าเดียวได้แก่ท่านั่งสมาธิ ผู้ฝึกจะนั่งเก้าอี้หรือนั่งขัดสมาธิก็ได้ จากนั้นให้นั่งหลังตรงร่างกายต้องผ่อนคลายไม่เกร็ง และจะหลับตา ระหว่างการฝึก แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงกลับอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งในการฝึกนั้น ผู้ฝึกต้องมีความเข้าใจในลักษณะของลมปราณที่เดินอยู่ภายในร่างกาย ผู้ฝึกต้องรู้สึกได้ถึงพลังที่หมุนไปมา และต้องสัมผัสได้ว่า ลมปราณอยู่ตรงไหน มีลักษณะอย่างไร และจะเคลื่อนจากจุดไหนไปจุดไหน
นอกจากนี้ในการเดินลมปราณทุกๆ ครั้ง จะต้องได้รับการเปิดจักระจากอาจารย์ผู้สอน และหากการเดินลมปราณมีการติดขัด ผู้สอนจะใช้พลังจิตในการช่วยบังคับลมปราณให้ผ่านจุดต่างๆ ไปได้อย่างราบรื่น
ปัจจุบันนี้มีผู้ที่ฝึกเสี่ยวโจวเทียนเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือการฝึกฝนลมปราณเสี่ยวโจวเทียนให้ได้ผลสำเร็จ จะต้องมีความเข้าใจถึงลักษณะของลมปราณภายในร่างกายเสียก่อน โดยเส้นทางเดินของลมปราณ ต้องสัมผัสได้ว่า ลมปราณภายในร่างกายนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร และหากลมปราณภายในร่างกายนั้นมีอยู่จริงก็ต้องรับรู้ได้ว่า พลังที่เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของกระแสลมปราณนั้นชัดเจน การไหลเวียนของพลังลมปราณที่หมุนเวียนภายในร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอนั้น เป็นเพียงขั้นต้นๆ ของการฝึกพลังลมปราณเสี่ยวโจวเทียน ส่วนขั้นต่อๆ ไปของวิชานั้นเป็นเรื่องของความสามารถของแต่ละบุคคลว่า จะสามารถเพียรพยายามฝึกฝนต่อไปขั้นสูงๆ จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากมาย อาทิ สุขภาพแข็งแรง และบำบัดโรคทั้งหลายที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็น โรคหวัด โรคเจ็บคอ คออักเสบ หรือแพ้อาการเป็นต้น
นอกจากนี้การฝึกเสี่ยวโจวเทียนจะมีความแตกต่างจากการฝึกชี่กง และการออกกำลังกายแบบอื่นๆ เพราะการฝึกแบบอื่นๆ เป็นการฝึกเพื่อให้พลังหยวนชี่หมดช้าลง และไม่สามารถเพิ่มพลังหยวนชี่ได้ ซึ่งต่างจากเสี่ยวโวเทียนตรงที่ เมื่อฝึกแล้วจะทำให้พลังหยวนชี่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง จึงเป็นที่มาของการคืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว แก่ช้านั่นเอง
เสี่ยวโจวเทียนเป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้โดยใช้สมาธิขั้นสูง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบนั่งสมาธิและอยากรู้ว่าสมาธิของคุณอยู่ในระดับไหน การฝึกเสี่ยวโจวเทียนสามารถให้คำตอบได้ ที่พิเศษคือ เมื่อฝึกแล้วทำให้แก่ช้า เพราะทำให้เซลล์ของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น แต่ที่สำคัญคนจะเรียนหลักสูตรนี้ได้ต้องมีความศรัทธา และต้องมีสมาธิ มีเวลา ขยันฝึก การฝึกหลักสูตรนี้ ผู้ฝึกต้องเป็นผู้มีจิตนิ่งบริสุทธิ์ ดีที่สุด คือ ต้องมีพื้นฐานเช่นเคยนั่งสมาธิรำไทเก็ก เคยเรียนโยคะมาก่อน โดยในการเรียนต้องมีการถ่ายทอดพลังซึ่งกันและกัน ซึ่งการส่งพลังมี 2 วิธี วิธีแรกคือการส่งพลังแบบสัมผัสตัวผู้รับพลัง วิธีที่สอง คือ การส่งพลังโดยยืนห่างจากผู้รับประมาณ 3 นิ้ว และเวลามาเรียนเราต้องเปิดจักระให้ทุกคน ถ้าไม่เปิด เรียนตลอดชีวิตก็ไม่มีทางสำเร็จ" อาจารย์หยาง เผยเซินกล่าวปิดท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit