"เคยคุยกับเพื่อนที่เขียนบทด้วยกัน สมัยยังทำหนังอยู่กับพี่ปื๊ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) เรื่องขุนแผน รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าทำมาก เรานึกถึงคีย์วิช่วลที่เป็นภาพแรกคือ คนใส่โจงกระเบนแบบหยักรั้ง (อาการนุ่งผ้าถุงหรือผ้าโสร่งรั้งผ้าทางด้านข้างมาเหน็บเอวทั้ง 2 ข้างให้ชายผ้าร่นสูงขึ้น) แล้วก็ใส่เสื้อราชปะแตน สะพายดาบข้าง สะพายปืนข้าง ขี่ช้างไล่จับโจร มันเท่ห์มากเลย เรารู้สึกว่ามันแกรนด์ มันดูเอ็กซ์โซติกมากๆ โดยมีคีย์เวิร์ดคือ "ขี่ช้างจับโจร" แต่ก็ไม่ได้ทำ หลังจากนั้นก็ได้ยินมาโดยตลอดว่าจะมีคนทำ เป็นละครบ้าง เป็นหนังบ้าง ได้ยินว่า พี่ปื๊ด(ธนิตย์ จิตนุกล)จะทำ หรืออยู่ๆ พี่เฉลิม วงค์พิมพ์ (ผกก. 7 ประจัญบาน) ก็โทรมาบอกเราว่าพี่คิดว่าพี่จะทำ ซึ่งเราบอก เอาเลยพี่ ใครทำก็ได้เราอยากเห็นเรื่องนี้ เพราะเรื่องของท่านเป็นเรื่องที่น่าทำ"
แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า "ก้องเกียรติ โขมศิริ" คือ "ตัวเลือกเดียว (The Chosen One)" ที่จะมาเป็นผู้รับหน้าที่ "ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์" ถึงแม้ว่าความฝันครั้งนี้เดินทางด้วยระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษ เมื่อ เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้อำนวยการสร้าง ยื่นโปรเจกต์ให้พร้อมกับเปิดไฟเขียวให้รับหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ จนเป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดของภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์ระดับมาสเตอร์พีซเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด ยากที่สุด และท้าทายที่สุดในชีวิตของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่มาพร้อมกับแนวทางอย่างชัดเจนถึงรูปแบบของภาพยนตร์ที่จะถูกนำเสนอโดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาและความตั้งใจอันแรงกล้า ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
"อยู่มาวันหนึ่งเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธาน บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์) ก็เรียกโขมให้เข้ามาเจอกันหน่อย แล้วก็ยื่นหนังสือซึ่งเป็นหนังสือที่ระลึกงานศพของท่านขุนพันธ์ให้ เสี่ยบอกว่าจะทำเรื่องนี้โปรเจกต์ขุนพันธ์ โขมเอ็งสนใจอยากทำมั้ย รู้จักมั้ย เราก็บอก เราอยากทำมานานแล้วโปรเจกต์นี้ เสี่ยก็เลย เริ่มกัน แล้วพูดว่า ถ้างั้นเอ็งต้องทำให้ดี เพราะว่า 2 คำแรกที่เสี่ยพูดกับเราเป้าหมายคือ 1. เราอยากเชิดชูคนดี เราอยากเชิดชูตำรวจดีๆ 2. คือเสี่ยอยากทำหนังเรื่องนี้ให้เป็นที่ถูกจดจำในประเทศนี้ เราก็รู้สึกดี รู้สึกหัวใจพองโตที่เสี่ยมองในมุมว่า มันจะเป็นหนังที่จะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ บางอย่างที่จะกระตุ้นให้คนไทยรู้สึกได้ว่า เฮ้ยคนดีๆ คนหนึ่งมีอยู่ ตำรวจดีๆคนหนึ่งมีอยู่จริงๆ แล้วในหนังสือเล่มนี้ที่เสี่ยยื่นให้ พอเราเปิดเข้าไปจากรูปที่ปรากฎในหนังสือเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมบุคคลธรรมดาคนหนึ่งถึงมีพวงหรีดจากราชวงศ์ทุกพระองค์ส่งให้ในงานพระราชทานเพลิงศพ แล้วที่สุดยอดคือ รูปเก่าๆ สมัยที่ท่านปฏิบัติงาน มีอยู่รูปหนึ่งที่ท่านขุนพันธ์ต่อเทียนจากในหลวงจากมือเลย มันเหมือนกับภาพอัศวินในอุดมคติที่ยืนอยู่หน้าพระมหากษัตริย์ของตัวเองแล้วก็ต่อเทียนเล่มนั้น แล้วเราก็นั่งดู สั่งกับทีมงานให้สแกนภาพนี้ขยายแล้วติดที่ห้องทำงาน เวลาที่ทุกคนเดินเข้าเดินออกมองภาพนี้ไว้ นี่แหละคืองานเรา โปรเจกต์นี้ต่อเทียน ถูกต้องไม่ถูกต้องเราไม่รู้แต่เราสู้สุดชีวิตเราจะต่อเทียนกันต่อไป แล้วทุกครั้งถ้าเรารู้สึกเหนื่อยกับอุปสรรคต่างๆ เราก็จะหันมาดูชีวิตท่าน จากเรื่องราวที่ได้รวบรวมศึกษาค้นคว้าระหว่างเขียนบทการเข้าไปจับโจรในสมัยก่อนไม่ได้มีหน่วยซีลเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนหุงข้าวเหนียวปั้นหนึ่งแล้วก็ยัดใส่กระเป๋า แล้วก็เข้าป่าหายไปเป็นเดือนไปสุ่มจับโจร ไปตามสืบ นี่แหละชีวิตคนต่อเทียน ชีวิตอัศวิน แล้วถามว่าท่านหยุดทำความดีมั้ย ไม่ หลายคนถามท่านขุนไม่เหนื่อยเหรอ ท่านขุนพูดคำเดียวเลยว่า เพราะเราเป็นตำรวจ เราว่านี่คือธีมที่แข็งแรงมากของหนังและของคนๆ หนึ่งที่ชัดเจนว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไรเพื่อแผ่นดินและรู้ตัวตนบทบาทหน้าที่ของตัวเองว่าฉันทำอะไร"
14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit