น้องแพท พริมา ยนตรรักษ์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม "LIONHEART" เจ้าของงานวิจัย "แมลงกินได้" เล่าว่า เราเป็นคนโชคดีมากๆ เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมทุกอย่าง อยู่ในสังคมที่ดี มีโอกาสได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆ ซึ่งถือว่าเพอร์เฟคมาก เมื่อก่อนก็คิดแต่ว่าเราไม่ต้องทำอะไร มีหน้าที่เรียนก็เรียนอย่างเดียว ตั้งใจเรียนให้ดี เรียนเก่งๆ แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่เคยมองสังคมรอบข้างหรือมองคนที่ด้อยกว่าเรา จนวันหนึ่งช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็เกิดจุดเปลี่ยนในความคิด เพราะได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณครูประจำชั้น คุณครูบอกว่า คนเราเรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ เราต้องเรียนรู้ที่เป็นผู้ให้และผู้รับ แล้วเราจะพบความสุขที่แท้จริง ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางความคิด และอยากทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ซึ่งเราให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษา เพราะการศึกษาคือปัจจัยพื้นฐานที่ทุกคนในประเทศควรจะได้รับ เราจึงรวมตัวกันกับเพื่อนๆ จำนวน 8-9 คน ตั้งกลุ่ม LIONHEART ขึ้นมา และเราก็เริ่มคิดว่าเราจะทำอะไรดี เริ่มหาข้อมูลโรงเรียนในต่างจังหวัดว่ามีโรงเรียนไหน ที่ขาดแคลนอุปกรณ์การศึกษา หรือมีส่วนไหนที่เราจะไปเติมเต็มให้กับน้องๆ ได้บ้าง
น้องแพท พริมา ยนตรรักษ์ เล่าต่อว่า พอคัดเลือกโรงเรียนได้แล้ว เราก็คิดถึงการระดมทุน เพื่อจะได้นำไปซื้ออุปกรณ์ต่างๆ พอดีคุณแม่มีบ้านอยู่ที่อำเภอปากช่อง และคุณแม่ปลูกผักปลอดสารพิษไว้ เราจึงไปขอผักคุณแม่มาแพ็คขาย โดยวางขายที่โรงเรียน ขายที่ทำงานคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งตอนนั้นเรามีรายได้จากการขายผัก 100,000 บาท เราก็นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออุปกรณ์กีฬา ของเล่น โดยครั้งแรกที่ไปรู้สึกดีใจมากๆ ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กและคุณครูที่โรงเรียน มันทำให้เรามีความสุขรู้สึกอิ่มเอมใจ มันทำให้เรามีพลัง และอยากจะทำสิ่งดีๆให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส ซึ่งจากการที่เราลงพื้นที่ไปในหลายๆ จังหวัด มันทำให้เราเห็นเลยว่า ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการศึกษาเป็นอย่างมาก ในสังคมต่างจังหวัดเด็กๆ ต้องดิ้นรนที่จะมาโรงเรียน บางคนบ้านอยู่ไกลมากต้องวิ่งหรือเดินเป็นสิบกิโล เพื่อจะมาโรงเรียน อาหารกลางวันที่เด็กทานก็จะเป็นอาหารตามท้องถิ่น โครงการอาหารกลางวันไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจึงต่อยอดความช่วยเหลือโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งต่อให้กับน้องชายที่เป็นประธานกลุ่มคนใหม่สานต่อ
นายอรณ พีท ยนตรรักษ์ ประธานกลุ่ม LIONHEART คนปัจจุบันกล่าวว่า ตอนนี้กลุ่ม LIONHEART มีเงินทุนที่ได้จากการขายผักปลอดสารในแต่ละปีอยู่ประมาณ 300,000 บาท โดยที่ผ่านมาเราได้ช่วยเหลือเด็กๆปีละ 2 โรงเรียน ซึ่งปัจจุบันพีทได้มีโอกาสมาสานต่องานจากพี่แพท เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะช่วยจนเค้าสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้ช่วยแค่ซื้อของไปให้ นำเงินไปให้แล้วก็จบ แต่เราจะดูแลทุกกระบวนการ ติดตามผล ว่าสิ่งที่เราทำสามารถช่วยเหลือเด็กๆ ได้หรือไม่ สำหรับในปีนี้เรามีหลายๆ โปรเจคกำลังทำอยู่ เพื่อช่วยเหลือสังคม อาทิ การสอนหนังสือเด็กในสลัมต่างๆ ในกรุงเทพ การนำหลอดไฟมารีไซเคิล รับบริจาคกล่องนมเพื่อนำมาทำหลังคา มาประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ สำหรับเด็ก
นายอรณ พีท ยนตรรักษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากสิ่งเหล่านี้ที่เราทำแล้ว ในปีนี้เรายังมีโครงการ LION CARE คือ การช่วยเหลือเด็กที่ติดเชื้อ HIV แต่กำเนิดให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ โดยนำเงินไปบริจาคเป็นทุนการศึกษาให้เด็กๆได้เรียนจนจบวิชาชีพ และช่วยดูแลผู้ป่วย พูดคุยให้กำลังใจ เพื่อให้เค้ามีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย อีกทั้งยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มจิตบำบัดมาพูดคุยกับผู้ป่วยอีกด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เรากำลังดำเนินโครงการอาหารกลางวันของเด็กๆ โดยการทำเกษตรแบบพอเพียงตามรอยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเราจะสอนให้เด็กๆ ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ เพาะแมลงธรรมชาติ เลี้ยงไก่ เพื่อนำมาทำอาหารกลางวันให้เด็กทาน หากผลผลิตเหลือเราก็ให้เด็กนำไปขาย และนำเงินมาเป็นกองทุนอาหารกลางวันต่อไป ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะโภชนาการมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก หากเด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปลอดสารพิษ ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพที่ดี และแข็งแรง
นายอรณ พีท ยนตรรักษ์ กล่าวปิดท้ายว่า การที่เราคิดจะช่วยเหลือใครสักคน เราจะคิดแค่ว่าเอาเงินไปช่วยอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราทำมันก็จะทำสูญเปล่า ดังนั้นเราต้องช่วยให้เค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น เรียนรู้ในการพึ่งพาตัวเองจากสิ่งรอบข้าง เพื่อความอยู่รอด การที่เราได้เห็นรอยยิ้มของเด็กและชาวบ้าน มันทำให้เรารู้สึกมีพลังที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า และเป็นแรงผลักดันในการทำความดี เพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคม
น่าชื่นชมกับเด็กไทยหัวใจจิตอาสา จากรุ่นสู่รุ่นของสองพี่น้องคู่นี้มาก แม้ร่างกายจะอยู่แค่เพียงวัยมัธยม แต่หัวใจของเขาและเธอนั้นกล้าและอาจหาญเกินกว่าที่ผู้ใหญ่บางคนจะสามารถกระทำได้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit