วิวัฒนาการแห่งสมรรถนะที่หลุดพ้นทุกข้อจำกัดจากปอร์เช่ รถยนต์ไฮบริดใหม่ ภายใต้รุ่น ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera)

13 Sep 2016
มหกรรมยานยนต์ Paris Motor Show คือสถานที่ซึ่ง ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) จะปรากฎตัวออกสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก รถสปอร์ตซาลูนสุดหรูล่าสุด พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและศักยภาพในการขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้เป็นระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร พละกำลังสูงสุดกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์) จากขุมพลังเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน hybrid อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประหยัดอย่างน่าอัศจรรย์ในระดับ 40 กิโลเมตรต่อลิตร (2.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) ตามมาตรฐานการทดสอบอัตราบริโภคในรถยนต์ plug-in hybrid ของยุโรปหรือ NEDC ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (Co2) เพียง 56 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้นขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบเป็นระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร

สำหรับปอร์เช่ นิยามของคำว่า "hybrid" ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงสมรรถนะการขับขี่ชั้นเลิศที่ไม่เคยลบเลือนไปจากยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ตเลยแม้แต่น้อย ข้อเท็จจริงที่ใช้ในการพิสูจน์คำกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี คือผลงานชัยชนะอันยอดเยี่ยมของรถแข่งปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 hybird) ในการ แข่งขัน Le Mans 24 ชั่วโมง ฤดูกาล 2015 และ 2016 ที่ผ่านมา เกียรติยศอันยิ่งใหญ่นี้ ได้ถูกถ่ายทอดมายังปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย

รถยนต์ plug-in hybrid รุ่นใหม่จากปอร์เช่ สามารถเริ่มการทำงานได้จากระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางอย่างต่อเนื่องในสภาวะของยานพาหนะที่ปราศจากมลพิษหรือ zero-emission vehicle ได้เป็นระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร โดยยังคงทำความเร็วสูงสุดถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นจึงเป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใดปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) ใหม่ จึงเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่อยู่ในเรือนร่างของซาลูนสุดหรูอย่างแท้จริง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อประสิทธิภาพสูงของปอร์เช่ ทำหน้าที่รองรับความเร็วสูงสุดกว่า 278 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมทั้งถ่ายทอดแรงบิดมหาศาลในระดับ 700 นิวตันเมตรลงสู่พื้นถนนได้ทันทีที่ออกตัวจากจุดสตาร์ทโดยไม่ขึ้นต้องอยู่กับรอบการทำงานของเครื่องยนต์รถสปอร์ต hybrid 4 ประตูคันนี้ ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 4.6 วินาทีเท่านั้น แรงบิดทั้งหมดได้รับการส่งต่อไปยังล้อขับเคลื่อนทั้ง 4 อย่างสมบูรณ์โดยมีระบบช่วงล่างแบบถุงลม หรือ three-chamber air suspension ที่ให้เสถียรภาพในการทรงตัวอันยอดเยี่ยมพร้อมดุลยภาพระหว่างความนุ่มนวลสะดวกสบายและการบังคับควบคุมที่เฉียบคม

แนวคิดในการพัฒนาระบบ hybrid ใหม่ล่าสุดซึ่งมีพื้นฐานจากรถซูเปอร์สปอร์ต ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder)สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญอย่างแน่นอน ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ใหม่ ติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของระบบขับเคลื่อนสุดล้ำยุคซึ่งไม่เคยมีการนำมาใช้งานในรถยนต์ระดับเดียวกันมาก่อน หลักการทำงานของระบบดังกล่าวใช้พื้นฐานแนวคิดเช่นเดียวกันกับ ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) รถสปอร์ตที่เปี่ยมด้วยพละกำลังสูงสุดถึง 887 แรงม้า (652 กิโลวัตต์) นอกจากนี้มันยังเป็นรถจากสายการผลิตปกติที่สามารถทำความเร็วต่อรอบสนามได้ดีที่สุดบน Nurburgring Nordschleife สร้างสถิติอันยากที่จะมีใครทำลายได้ที่ 6:57 นาทีต่อรอบสนาม ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยพละกำลังที่ได้รับเพิ่มเติมจากระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงถึง 2 ชุดด้วยกัน

และเช่นเดียวกันกับ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ด้วยกำลังเสริมจากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มให้ พานาเมร่า (Panamera) ใหม่อีกกว่า 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อปลายเท้าสัมผัสแป้นคันเร่งเท่านั้น ในขณะเดียวกับที่ พานาเมร่า (Panamera) รุ่นก่อน ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งลงถึง 80% ของระยะการทำงานจึงจะสามารถดึงเอาพละกำลังเสริมจากชุดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าดังกล่าวมาใช้งานได้ แต่สำหรับในตอนนี้ ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) รุ่นใหม่ติดตั้งชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันกับเครื่องยนต์เบนซินได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ข้อจำกัดใดๆ พร้อมให้สมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มี่ที่ติ ในลักษณะการทำงานแบบเดียวกันกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าใน 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ที่ให้ศักยภาพในการเสริมพละกำลังเครื่องยนต์ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทั้งนี้จากการปฏิบัติหน้าที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกันเข้ากับเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาดความจุ 2.9 ลิตรไบเทอร์โบ (330 แรงม้า/243 กิโลวัตต์/แรงบิด 450 นิวตันเมตร) จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ใหม่ จะมีพละกำลังที่ยอดเยี่ยมเต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะอันสุดแสนประทับใจ ตอบสนองทุกสไตล์การขับขี่และรองรับทุกเส้นทางที่ต้องเผชิญได้เป็นอย่างดีจากแหล่งกำเนิดพลังชั้นเลิศทั้งชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ประสิทธิภาพสูง

นอกจากนี้พลังงานที่ได้จากชุดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใน พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) นั้นยังมีส่วนสำคัญในการถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดที่รถคันนี้สามารถทำได้อีกด้วย และนี่คือนิยามใหม่ล่าสุด ของระบบขับเคลื่อน hybrid แห่งอนาคตจากปอร์เช่ "E-Performance" ระบบขับเคลื่อนล้ำยุคที่ให้พละกำลังมากยิ่งขึ้น เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประหยัดอย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งนี้ราวกับจากโลกอนาคตชุดขับเคลื่อน hybrid ใหม่ล่าสุด พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ PDK 8 จังหวะ

ด้วยการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่ซึ่งคิดค้นและพัฒนาขึ้นโดยปอร์เช่ผสานพลังร่วมกันกับเครื่องยนต์เบนซิน V6 สมรรถนะสูง พร้อมระบบ electric clutch actuator (ECA) นวัตกรรมเทคโนโลยีทางวิศวกรรมยานยนต์ที่ได้รับการติดตั้งลงใน ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) ใหม่ ทำงานด้วยการควบคุมของชุด electro-mechanically ซึ่งให้การตอบสนองที่แม่นยำฉับไวมากกว่าการควบคุมด้วย electro-hydraulic แบบเดิมใน พานาเมร่า (Panamera) รุ่นก่อนหน้า จึงเป็นที่มาของการถ่ายทอดกำลังที่มีความรวดเร็วและเฉียบคมมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับยนตกรรมปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) เจเนอเรชั่นที่ 2 ในรุ่นอื่น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ Porsche Doppelkupplug หรือ PDK แบบ 8 จังหวะ รับหน้าที่ในการถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลจากเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าลงสู่ล้อทั้ง 4 อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้เกียร์อัตโนมัติ PDK ถูกมอบหมายให้ประจำการแทนเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ (Torque Converter) ซึ่งติดตั้งอยู่ใน พานาเมร่า (Panamera) รุ่นก่อนหน้านี้

ชุดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นได้รับพลังงานจากการจ่ายผ่านแหล่งพลังงานแบบแบตเตอรี่ระบายความร้อนด้วยของเหลวหรือ liquid-cooled Lithium-ion battery ถึงแม้แบตเตอรี่ดังกล่าว (ซึ่งได้รับการติดตั้งอยู่บริเวณพื้นตัวถังใต้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ) จะมีอัตราความจุพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 9.4 กิโลวัตต์ชั่วโมงในรุ่นเดิม เป็น 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงในรุ่นใหม่ก็ตาม แต่กลับมีน้ำหนักที่ไม่แตกต่างกัน คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงดังกล่าวได้จนเต็มความจุพลังงานไฟฟ้าภายในระยะเวลาเพียง 5.8 ชั่วโมง ด้วยสายชาร์จขนาด 230-V, 10-A สำหรับในกรณีที่ผู้ขับขี่เลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบพิเศษ 7.2 kW on-board charger และสายชาร์จขนาด 230-V, 32-A แทนอุปกรณ์แบบมาตรฐาน 3.2 kW ในปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) นั้น จะสามารถทำการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มความจุพลังงานไฟฟ้าได้ภายในระยะเวลาเพียง 3.6 ชั่วโมงเท่านั้น ขั้นตอนการชาร์จพลังงานดังกล่าวสามารถตั้งค่าในการกำหนดเวลาได้ผ่านระบบ Porsche Communication Management หรือ PCM ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ยังได้รับการติดตั้ง

ระบบปรับอากาศแบบตั้งการทำงานอัตโนมัติซึ่งสามารถควบคุมการทำงานทั้งระบบทำความเย็นและระบบทำความร้อนให้แก่ห้องโดยสารในระหว่างการชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

แนวคิดของระบบควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานล้ำยุค Porsche Advance Cockpit และหน้าจอพิเศษแสดงสถานะการทำงานของระบบขับเคลื่อน hybrid

อุปกรณ์ที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งของปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) เจเนอเรชั่นล่าสุด คือผลงานในการออกแบบและพัฒนาหน้าจอแสดงผลและฟังก์ชั่นควบคุมการทำงานตามหลักแนวคิดใหม่ของปอร์เช่ หรือ Porsche Advance Cockpit ซึ่งมาพร้อมแผงควบคุมระบบสัมผัสล้ำอนาคต และหน้าจอแสดงผลที่แบ่งแยกการทำงานโดยเฉพาะในแต่ละระบบภายในห้องโดยสารประกอบด้วยจอภาพความละเอียดสูงขนาด 7 นิ้ว 2 ตัวซึ่งได้รับการติดตั้งลงในชุดแผงหน้าปัดโดยมีมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มสุดคลาสสิกคั่นกลางระหว่างหน้าจอทั้ง 2 และอีกหนึ่งความพิเศษสุดซึ่งคุณจะสามารถพบความแตกต่างจาก พานาเมร่า (Panamera) รุ่นอื่นๆ ได้ในปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) เท่านั้น คือหน้าจอ power meter สำหรับแสดงสภาวะการทำงานของระบบขับเคลื่อน hybrid โดยเฉพาะ หน้าจอดังกล่าวสามารถบอกสถานะการทำงานของระบบขับเคลื่อน hybrid ให้แก่ผู้ขับขี่รับทราบได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายในลักษณะเดียวกับอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ต ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) นั่นเอง หน้าจอ power meter ดังกล่าวจะ แสดงข้อมูลได้หลากหลาย อาทิเช่น ปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้งานอยู่ในขณะนั้น หรือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับการชาร์จคืนกลับ

หน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รับหน้าที่ในการควบคุมการทำงานระบบ PCM พร้อมแสดงผลทั้งหมด ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลของการทำงานจากระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid ที่มีความหลากหลายได้ ทั้งจากหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงดังกล่าวหรืออ่านข้อมูลจากชุดแผงหน้าปัด ฟังก์ชั่นพิเศษ boost assistant และ hybrid assistant ออกแบบให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้ง่ายและเปี่ยมไปด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดย boost assistant จะทำหน้าที่แสดงพลังงานที่สามารถใช้ได้ในขณะนั้น สำหรับ Hybrid assistant ทำหน้าที่ให้ข้อมูลการประมวลผลของสัญญาณจากหลายแหล่งที่เกี่ยวข้องกับกำลังขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้า"Hybrid Auto" รูปแบบการขับขี่ที่ตอบรับประสิทธิภาพเหนือระดับ

ชุดแต่งสปอร์ต โครโน (Sport Chrono Package) ติดตั้งพร้อมชุดสวิทช์เลือกรูปแบบการขับขี่บนพวงมาลัย สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) นั้นมีความแตกต่างไปจากอุปกรณ์ดังกล่าวใน พานาเมร่า (Panaemra) รุ่นอื่น โดยทั่วไปสวิทช์เลือกรูปแบบการขับขี่หรือ mode switch และระบบควบคุมการติดต่อสื่อสารหรือ Porsche Commnication Management เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้งานรูปแบบการขับขี่ได้หลากหลายลักษณะ ซึ่งรูปแบบหรือ mode ที่คุ้นเคยกันดีได้แก่ "Sport" และ "Sport Plus" ซึ่งรูปแบบดังกล่าวถูกติดตั้งลงในปอร์เช่ พานาเมร่า (Panaemra) รุ่นอื่นที่มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ต โครโน สำหรับรุ่น hybrid ได้รับการเพิ่มเติมเป็นพิเศษด้วยรูปแบบการขับขี่ "E-Power", "Hybrid Auto", "E-Hold" และ "E-Charge"

ทั้งนี้ปอร์เช่ พานาเมร่า อี-ไฮบริด (Panamera E-Hybrid) จะตั้งค่าการทำงานเริ่มต้นอัตโนมัติทุกครั้งเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรูปแบบการขับขี่จากพลังงานไฟฟ้า 100% ใน mode "E-Power" ในส่วนของ mode "Hybrid Auto" นั้นเป็นรูปแบบการขับขี่ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นใหม่ เมิ่อผู้ขับขี่เลือกใช้งานรูปแบบดังกล่าว พานาเมร่า (Panaemra) จะปรับตั้งการทำงานของระบบขับเคลื่อนทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อรองรับการขับขี่ที่ให้ประสิทธิภาพในการประหยัดสูงสุด

รูปแบบการขับขี่ "E-Hold" เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของระบบการชาร์จพลังงานได้อย่างเต็มที่ พร้อมรองรับการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ของรถยนต์ปราศจากมลพิษหรือ zero-emissions mode ตัวอย่างเช่นในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในเขตพื้นที่ที่มีความเข้มงวดในเรื่องสภาพแวดล้อม สำหรับ "E-Charge" mode เครื่องยนต์ เบนซิน V6 จะรับบทบาทในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าคืนกลับให้แก่ระบบ ในการเลือกใช้งานรูปแบบการขับขี่ลักษณะนี้เครื่องยนต์เบนซินอาจทำงานมากกว่าความต้องการใช้กำลังจากเครื่องยนต์เพื่อรองรับการขับขี่ในขณะนั้น

รูปแบบการขับขี่ที่เน้นสมรรถนะสูงสุดนั้นอยู่ใน mode การทำงานที่เรียกว่า "Sport" และ "Sport Plus" เครื่องยนต์ V6 ไบเทอร์โบ จะทำงานอย่างเต็มที่ต่อเนื่องเมื่อเลือกใช้ลักษณะการขับขี่ในรูปแบบทั้งสอง สำหรับ "Sport" อัตราการชาร์จพลังงานไฟฟ้าคืนกลับไปยังแบตเตอรี่นั้นจะถูกกำหนดให้อยู่ในระดับที่ต่ำสุดเพื่อให้แน่ใจว่าระบบขับเคลื่อนจะมีกำลังสำรองเพียงพอในการตอบสนองและรองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่ผู้ขับขี่ต้องการ

ในส่วนของรูปแบบการขับ "Sport Plus" mode จะเป็นลักษณะการทำงานที่สมรรถนะสูงสุด ปลดปล่อย พานาเมร่า (Panamera) ให้ทำความเร็วสูงสุดทะลุขีดจำกัดจนถึงระดับ 278 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในรูปแบบการขับขี่นี้ระบบจะทำการชาร์จพลังงานในอัตราที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ จากการช่วยเหลือของเครื่องยนต์เบนซิน V6

ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) เจเนอเรชั่นที่สองประกอบด้วย พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo) 550 แรงม้า/404 กิโลวัตต์ พานาเมร่า 4 เอส (Panamera 4S) 440 แรงม้า/324 กิโลวัตต์ และพานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) 462 แรงม้า/340 กิโลวัตต์ จากสองระบบขับเคลื่อน ทั้ง 3 รุ่นคือตัวแทนของการผสมผสานรถสปอร์ตสมรรถนะสูงสายพันธ์แท้ให้เป็นหนึ่งเดียวกับรถแกรนทัวริ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยความหรูหราควบรวมเอาที่สุดแห่งการขับขี่เข้ากันอย่างดีเยี่ยมกับความสะดวกสบายเหนือระดับ

พบกับรูปภาพประกอบสำหรับรถยนต์ปอร์เช่ รุ่นต่างๆ ได้ที่ Porsche Newsroom (http://newsroom.porsche.de) และ Porsche press database (https://presse.porsche.de)

ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง 40 กิโลเมตรต่อลิตร (25 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 56 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 15.9 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร *ผลการทดสอบอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของยางรถยนต์ที่ใช้

ปอร์เช่ พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง 10.6 – 10.7 กิโลเมตรต่อลิตร, (9.4-9.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยสำหรับการขับขี่ในเมือง 7.7 – 7.8 กิโลเมตรต่อลิตร (12.9-12.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) สำหรับการขับขี่นอกเมือง 13.6 – 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร (7.3-7.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 214 - 212 กรัมต่อกิโลเมตร

ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 เอส (Panamera 4S): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.1 – 12.3 กิโลเมตรต่อลิตร, (8.2-8.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยสำหรับการขับขี่ในเมือง 9.8 – 9.9 กิโลเมตรต่อลิตร (10.2-10.1 ลิตรต่อ 100 กิโลมตร) สำหรับการขับขี่นอกเมือง 14.7 – 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร (6.8-6.7 ลิตรต่อ 100 กิโลมตร) ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 186 - 184 กรัมต่อกิโลเมตร

ปอร์เช่ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 10 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการหลังการขายของ เอเอเอส โดยทุ่มเทงบการอบรมวิศวกรของเราให้มีคุณภาสูงสุดตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ" "AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า AAS The Name you can Trust ซึ่งได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินการมากกว่า 30 ปีสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Porsche Centre Bangkok ถ.วิภาวดีรังสิตโทร. 02-522-6655

Porsche Centre Pattanakarn ถ.พัฒนาการโทร. 02-369-1111

Porsche City Showroom Siam Paragon ชั้น 2 โทร. 02-610-9911