สมาคมธนาคารไทย สนับสนุน 'สินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME’ จัดสรรวงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 4% ต่อปี

02 Aug 2016
สมาคมธนาคารไทย โดยความร่วมมือของธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอีภายใต้โครงการ'สินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME' วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท สำหรับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ ต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในกิจการ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.00% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรก และปีต่อไปเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว MRR ระยะเวลาการกู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 15สิงหาคม 2559

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันสร้างสรรค์และพร้อมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าเอสเอ็มอี ภายใต้โครงการ 'สินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME' วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับกลุ่มลูกค้า SME ที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในกิจการ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.00% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรก และปีต่อไปเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว MRR (Minimum Retail Rate) ระยะเวลาการกู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยหลักประกันและแนวทางในการพิจารณาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละธนาคาร พร้อมเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2559

ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ได้มอบแนวนโยบายแก่สถาบันการเงินทั้งเอกชนและรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ทั้งที่เป็นลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาวงเงินช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ตลอดมา เฉกเช่นเดียวกับโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการประชารัฐของคณะทำงานการส่งเสริมเอสเอ็มอี และStart-up ภายใต้การนำทีมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐบาล และคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน โดยมีสมาคมธนาคารไทยเป็นศูนย์กลางในการประสานรายละเอียดต่างๆ ของโครงการ เพื่อช่วยเหลือและเสริมศักยภาพให้กับกลุ่มเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกและง่ายขึ้น

สำหรับลูกค้าเอสเอ็มอีที่สนใจสามารถยื่นคำขอ 'สินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME' ได้กับธนาคารสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 15สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป หรือเมื่อครบจำนวน 10,000 ล้านบาท