ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิตและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า คนไทยตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การมีความเห็นที่แตกต่างกันจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งหากนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดการพัฒนา ช่วยให้คนเราสามารถมองเห็นปัญหาได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น มองเห็นข้อดีข้อเสีย มองเห็นทางเลือกของการแก้ไขปัญหาได้อย่างรอบด้าน แต่ถ้านำความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาใช้ในทางไม่สร้างสรรค์ ย่อมก่อให้เกิดความแตกแยก อารมณ์ขุ่นมัว เกิดความไม่พอใจ ทะเลาะเบาะแว้ง ปะทะกัน ทำลายล้างกัน มีแต่ความสูญเสีย ดังนั้น การใช้สติให้มาก ตั้งสติให้ได้ ตลอดจนเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มีความเห็นต่างกัน จึงมีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่น่าห่วงที่สุด คือ กลุ่มคนที่มีความเครียดสูงจากความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันมาก ที่นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพทางกายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เกิดการกระทบกระทั่ง นำไปสู่ความรุนแรงได้ง่าย ดังนั้น การป้องกันการเกิดปัญหาความรุนแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ที่ดีที่สุด คือ การระวังไม่ให้เกิดความเครียด จึงขอแนะให้ บริหารเวลาในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการลงประชามติอย่างเหมาะสม เปิดใจกว้างรับข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน เพื่อให้มีแง่มุมที่เปิดกว้างมากขึ้น ถึงแม้จะมีความเห็นต่างเราก็อยู่ร่วมกันได้ สังเกตอารมณ์ตัวเองให้รู้เท่าทันว่ากำลังเครียด หรือกำลังจะโกรธ แล้วหาวิธีผ่อนคลาย ฝึกชะลออารมณ์โกรธและสลายความเครียด เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกสติ ฝึกการหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เตือนตัวเองเสมอว่า ปรากฏการณ์ทางการเมืองมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา และมีพื้นที่ของความแตกต่าง ไม่มีใครคิดเหมือนกันทั้งหมด ผู้ที่มีความเห็นต่างไม่ใช่ศัตรูที่ต้องเอาชนะ ตลอดจน รวมพลังแสดงความห่วงใยบ้านเมือง ให้การลงประชามติผ่านพ้นไปด้วยดี โดยไม่ใช้ความรุนแรง คิดเห็นต่างได้แต่ไม่แตกแยก ซึ่งการที่เราได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อจะทำให้สังคมดีขึ้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแต่เมื่อรวมกันจำนวนมาก ย่อมจะเป็นผลดีต่อบ้านเมือง และเป็นการช่วยลดความเครียด ความคับข้องใจที่มีอยู่ในตัวบุคคลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการแปลงความเครียดวิตกกังวลให้เป็นพลังสร้างสรรค์สังคมได้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit