นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2559 ว่า "เศรษฐกิจไทยในปี 2559 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 – 3.6) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายและการลงทุน
ภาครัฐที่ขยายตัวในเกณฑ์สูง ตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาล ขณะที่การเบิกจ่ายภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำและระบบขนส่งทางถนน และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งในระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2559 ที่มีความพร้อม ยังคงมีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียที่เติบโตดี ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวขยายตัวดีตามไปด้วย ทั้งธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้และการจ้างงานในภาคบริการที่ขยายตัวดี ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนเช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุนภาครัฐในโครงการสำคัญต่างๆ มีความก้าวหน้าและชัดเจนมากขึ้นงทุนภาครัฐในโครงการสำระ รจากรายได้และการจจ้างงานในภาคบริการที่ขยายตัวดี นระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2559 ที่มีความพร้อม จำนวน 20 โ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้จะยังคงมีข้อจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ครั้งก่อน
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2559 มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.6 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.3 - 0.9) ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศคาดว่า ดุลการค้าจะเกินดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่าการส่งออกสินค้าที่หดตัวในอัตราชะลอลง และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณ 40.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 10.3 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.0 – 10.6 ของ GDP) เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการเกินดุลการค้าและดุลบริการ"
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ยังเปราะบาง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่เหลือของปี"