นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายปรุงรส "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพ การออกกำลังกาย และการเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ดังนั้นบริษัทได้วางกลยุทธ์ สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง โดยล่าสุดใช้งบประมาณการตลาดกว่า 30 ล้านบาทในการร่วมเป็นสปอนเซอร์ให้กับฟุตบอลทีมชาติไทยในการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย 12 ทีมสุดท้าย ซึ่งจะเริ่มแข่งขันตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ เป็นต้นไป
การสนับสนุนดังกล่าวบริษัทต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจนักกีฬา รวมถึงการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโอกาสขยายฐานผู้บริโภคไปยังกลุ่มผู้ที่สนใจกีฬาฟุตบอล ผ่านกิจกรรมสื่อสารทางการตลาด ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ อาทิ สื่อโฆษณานอกบ้าน เช่น บิลบอร์ด สื่อเคลื่อนที่ รวมทั้งกิจกรรมมีทแอนด์กรี๊ดกับนักฟุตบอลทีมชาติไทยได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง เป็นต้น
"ฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่คนไทยทั้งประเทศเฝ้าชมและเชียร์ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬา ซึ่งเถ้าแก่น้อยได้ให้การสนับสนุนวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่การแข่งขันในรายการฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 44, ฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ 2559 เห็นจากป้ายโฆษณา โลโก้เถ้าแก่น้อยอยู่ข้างสนาม เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่เถ้าแก่น้อยได้มีโอกาสเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ทีมชาติไทยในแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนไทยได้ชมและเชียร์ฟุตบอลไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนจะจัดกิจกรรมต่างๆต่อเนื่อง "นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "บิ๊กชีทอบ" สาหร่ายอบ สไตล์เถ้าแก่น้อยที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและรูปร่างตัวเองจากแคลอรี่ไม่มาก โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ ขนมสาหร่ายทะเลทอดกรอบ "ซีเกิ้ล" ที่เปิดตัวพร้อมกันนั้นถือเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้านอกเหนือจากสินค้าที่มีวางจำหน่ายก่อนหน้านี้
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาดเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้บริษัทยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเถ้าแก่น้อย เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 66% ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จากรายได้ 2,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5% โดยสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศ 55% และในประเทศ 45% และกำไร 345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่บริษัทมีการปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เป็น 4,300 ล้านบาท หรือเติบโต 25% จากเดิมที่วางไว้ 10-15% จากปี 58 ตามผลประกอบการครึ่งปีแรกและการขยายสายการผลิตโรงงานปัจจุบันเพื่อรองรับยอดขายช่วงปลายปี