นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ซึ่งลงทุนโดยบริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ (ECFH) บริษัทย่อยของ ECF ว่า บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าร์ฟาร์ม) ECF-Tornado Energy GK ณ เมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่นภายในปีนี้ หลังจากเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 58 ที่ผ่านมา และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 59 โดยมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1.5 เมกะวัตต์ ซึ่ง ECFH เข้าถือหุ้น 51% และญี่ปุ่น 49%
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนเข้าลงทุนโครงการโซล่าร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม หากมีโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและคุ้มค่ากับการลงทุน บริษัทก็สนใจที่จะเข้าลงทุนเช่นกัน ส่วนการร่วมลงทุนกับบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เพื่อดำเนินธุรกิจพลังงานไฟฟ้าชีวมวล หากรัฐบาลเปิดให้มีการประมูลรับคัดเลือกและอนุญาตเป็นผู้เสนอขายไฟฟ้า เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บริษัทก็พร้อมที่จะร่วมประมูล
ขณะที่โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ซึ่งมีแผนจะดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ GUNKUL โดย ECF ถือหุ้นในสัดส่วน 74.99% และ GUNKUL 25.01% นั้น อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐบาลถึงเงื่อนไขหลักเกณฑ์การเปิดให้เข้าร่วมประมูลสัญญาซื้อขายไฟ
นายอารักษ์ กล่าวต่อไปถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างน้อย 10-12% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,500ล้านบาท มุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เบื้องต้นวางแผนขยายตลาดในประเทศโดยขยายสาขาภายใต้แบรนด์ ELEGAจำนวน 7 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 16 สาขา และวางแผนเปิดสาขา ร้าน FINNA HOUSE จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้น 3 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขา ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโอกาสสร้างการเติบโตของยอดขาย จากออร์เดอร์ที่มากขึ้นและการแผนขยายสาขาของลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซี โลตัส โฮมโปร เมกาโฮม และดูโฮม
สำหรับตลาดต่างประเทศถือว่ามีสัญญาณการเติบโตที่ดี โดยญี่ปุ่นเป็นลูกค้าหลักของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังคงได้รับออเดอร์จากลูกค้าญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกันนี้บริษัทจะขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ พร้อมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างยอดการขายเฟอร์นิเจอร์ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 57% ภายในประเทศ 43% โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนกว่า 48% ของรายได้จากการส่งออก
ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) "Can Do" จากประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ได้เปิดสาขาไปแล้วจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และ เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา เน้นการเปิดในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และหัวเมืองขนาดใหญ่ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของร้านได้อย่างหลากหลาย โดยตั้งเป้าหมายรายได้จาก Can Do ในปี 59 ไว้ที่สัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit