นายสุวิทย์ อารยะวิไลพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานบริหารผลิตภัณฑ์ เอไอเอส กล่าวว่า "นับตั้งแต่ปี 2554 ที่เอไอเอสได้จุดประกายการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพขึ้นในประเทศไทย ผ่านโครงการ AIS The StartUp เพื่อเปิดโอกาสให้นักคิด นักพัฒนา และผู้ประกอบการดิจิทัลหน้าใหม่ ได้เข้าร่วมเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์กับเรา ในรูปแบบของกิจกรรมการประกวดนำเสนอผลงาน (Pitching) ต่อคณะกรรมการ เพื่อหาทีมชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดจริงกับเอไอเอส รวมถึงได้รับโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศในเวทีนานาชาติต่างๆ
ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มสตาร์ทอัพเข้าร่วมโครงการกว่า 2,000 ไอเดียและผลิตภัณฑ์ และได้ร่วมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากมาย อาทิ StockRadars, Golfdigg, ShopSpot FlowAccount, Social Giver, Local Alike รวมถึงได้รับความสนใจจาก Venture Capital ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจากการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทำให้เรามองเห็นว่า วันนี้ เมื่อ Digital Infrastructure มีความพร้อมแล้ว สตาร์ทอัพก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะนำไอเดียและ Business Model มาสร้างเป็นธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม จึงควรได้รับการสนับสนุนผ่านช่องทางที่สะดวกทุกเวลา อีกทั้งเทรนด์ของธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจหันมาสร้างธุรกิจของตัวเองเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีไอเดียใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และธุรกิจเป็นเรื่องที่รอไม่ได้
วันนี้ เราจึงได้เปิดตัวโครงการ "AIS The Startup CONNECT" เป็นช่องทางใหม่ให้สตาร์ทอัพ สามารถเชื่อมต่อธุรกิจกับเราได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องรอการประกวดประจำปีเหมือนที่ผ่านมา โดยเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพสามารถส่งผลงานเข้ามาที่ www.ais.co.th/thestartup ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยทุกผลงานที่ส่งเข้ามาจะได้รับการพิจารณาโดยทีมงาน มืออาชีพจากเอไอเอส และจะมีการนัดหมายสตาร์ทอัพ เพื่อเข้ามานำเสนอผลงานและร่วมพูดคุยธุรกิจด้วยกันต่อไป
ซึ่งเราเปิดโอกาสให้แก่ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในหลากหลายรูปแบบ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ อาทิ On-demand Economy (แพลตฟอร์มที่ประสานความต้องการซื้อและขายสินค้า), สังคมออนไลน์ และไลฟ์สไตล์, Smart Living & IOT, Payment & FinTech (ระบบชำระเงินและเทคโนโลยีด้านการเงิน), Social enterprise (กิจการเพื่อสังคม), ดิจิทัลเกม และแกนล่าสุดอย่าง Travel Tech (เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว และ Smart SMEs Solutions (นวัตกรรมใหม่เพื่อธุรกิจขนาดย่อม) ซึ่งสอดคล้องการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นเรื่องการท่องเที่ยว และธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น
โดยเอไอเอสพร้อมให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในทุกมิติ โดยเฉพาะ Infrastructure บนโครงข่ายดิจิทัล ทั้งด้านเทคโนโลยี กลยุทธ์-เทคนิคทางการตลาด ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า อาทิ One Stop Payment Service ที่มีทั้ง mPAY payment gateway และ Operator Billing & Charging, ทีมขายที่มีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญทางด้านการขาย และสามารถให้คำปรึกษากับลูกค้าได้ อย่างมืออาชีพ รองรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ด้วยทีมขายกว่า 200 คน, และ การร่วมทำ Bundling package กับ AIS เป็นต้น โดยเตรียมงบสนับสนุนตลอดทั้งโครงการ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท รวมถึงโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อผู้บริหารระดับสูงของโอเปอเรเตอร์ในเครือ Singtel Group ที่มีช่องทางเข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 550 ล้านรายในภูมิภาค และนักลงทุนจากทั่วโลก"
"เอไอเอสเชื่อมั่นว่าโครงการ "AIS The StartUp CONNECT" จะช่วยลดข้อจำกัดในการสร้างธุรกิจให้กลุ่มสตาร์ทอัพเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์คอนเทนต์และบริการดิจิทัลออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ ตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง" นายสุวิทย์กล่าว
ด้านนายธนพงษ์ ณ ระนอง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริษัทร่วมทุน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายการสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพว่า "ปัจจุบัน Ecosystem ของสตาร์ทอัพเมืองไทยมีการเติบโต และมีกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้น ทางโครงการอินเว้นท์ (InVent) ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนในรูปแบบ คอร์ปอเรต เวนเจอร์ แคปปิตอล (Corporate Venture Capital) จึงต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีศักยภาพในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ ตลอดจนธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอินทัช ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้มากขึ้น นอกจากการสนับสนุนเงินลงทุนแล้ว อินเว้นท์ ยังช่วยหาโอกาสทางธุรกิจและสามารถขยายความร่วมมือไปยังธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มอินทัช ที่มีฐานลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 40 ล้านราย มีความเชี่ยวชาญมีเครือข่ายและพันธมิตรที่สามารถช่วยขยายการเติบโตของธุรกิจให้เข้าถึงตลาดระดับสากลได้ในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นการขยายการลงทุนที่จะทำให้กลุ่มอินทัชมีการเติบโตมากยิ่งขึ้น"
"นับตั้งแต่เปิดโครงการอินเว้นท์ในปี 2555 ถึงปัจจุบัน ได้เข้าร่วมลงทุนกับกลุ่มสตาร์ทอัพแล้วทั้งหมด 9 บริษัท คือ OOKBEE, Meditech, Computerlogy,Infinity Levels studio, Sinoze, Playbasis, Golfdigg, ShopSpot และรายล่าสุด Wongnai ซึ่งการลงทุนของอินเว้นท์เป็นการลงทุนในแบบ Strategic Value เพื่อให้อินทัช และผู้ที่เราร่วมลงทุนด้วยมีการเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืนในระยะยาว เกิดการสร้างงานในสาขาวิชาชีพที่หลากหลาย รวมทั้งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ส่วนแนวทางการลงทุนของอินเว้นท์ในอนาคต จะเน้นการลงทุนในระดับซีรี่ส์ B มากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนของอินเว้นท์จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศผู้ประกอบการรายใหม่ได้ผลิตผู้ประกอบการที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดต่อไป "นายธนพงษ์ กล่าว
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit