สำหรับการขับเคลื่อนทั้ง 6 มาตรการนั้น กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการปล่อยขบวนสารวัตรเกษตร หาข้อมูลและตรวจสอบอย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา เพื่อรวบรวบข้อมูลจากผลการตรวจสอบเป็นฐานในการแจ้งให้สารวัตรเกษตรเครือข่ายเข้มงวดในการควบคุมโรงงานที่ผลิตสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อประกอบการดำเนินคดี และพักใบอนุญาตหรือปิดโรงงานต่อไป
ด้านนายสุรพล จารุพงศ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินการผลการปฏิบัติงานควบคุมปัจจัยการผลิตให้ได้คุณภาพของกรมวิชาการเกษตร ระหว่างวันที่ 9 มกราคม - 3 พฤษภาคม 2559 โดยเข้าตรวจสถานที่ผลิตและจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตร 19,935 แห่ง ผลตรวจวิเคราะห์การเก็บตัวอย่างปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ประกอบด้วย ปุ๋ย 454 ตัวอย่าง ผลวิเคราะห์ พบว่า ผ่าน 130 ตัวอย่าง ไม่ผ่าน 44 ตัวอย่าง รอผล 280 ตัวอย่าง วัตถุอันตราย 325 จากตัวอย่าง พบว่า ผ่าน 184 ตัวอย่าง ไม่ผ่าน 11 ตัวอย่าง รอผล 130 ตัวอย่าง เมล็ดพันธุ์ควบคุม 169 ตัวอย่าง ผลวิเคราะห์ พบว่า ผ่าน 76 ไม่ผ่าน 1 รอผล 92 ตัวอย่าง
ด้านนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนโยบายด้านการดูแลปัจจัยการผลิตแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ยังรวมไปถึงระบบการดูแลคุณภาพผลผลิต GAP ภายใต้มาตรฐานสากลของ FAO เป็นมาตรฐานหลักในการรับรอง โดยพืชที่ได้รับการรับรองขณะนี้มี 75 พืช ในพื้นที่ของเกษตรกรกว่า 200 ราย ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการโดยเกษตรกรที่มีความพร้อมสมัครเข้าร่วมโครงการ มีการตรวจรับรองระบบการผลิต ตรวจสอบผลผลิตโดยการสุ่มตรวจ ในปีนี้มีแผนออกสุ่มตรวจผลผลิตใน 8,905 ตัวอย่าง จากฟาร์มเกษตรกร เน้นตรวจสอบสารเคมีตกค้างและจุลินทรีย์ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้มีการสุ่มตัวอย่างผลผลิตจากฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 3,588 ตัวอย่าง พบเพียง 7 ตัวอย่าง ที่มีการปนเปื้อนของสารเคมีเกินมาตรฐาน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการยกเลิกการรับรองระบบในทันที
ด้านการดูแลการควบคุมปัจจัยการผลิต เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรได้รับแจ้งจากด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ว่าได้อายัดวัตถุอันตรายทางการเกษตรไว้จำนวน 20.2 ตัน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการนำเข้าโดยบริษัทเอกชน 2 ราย เนื่องจากไม่มีใบทะเบียน และใบอนุญาตนำเข้าซึ่งเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ที่กรมวิชาการเกษตรดูแลอยู่
ต่อมาบริษัทได้มีหนังสือแจ้งว่าสินค้าดังกล่าวส่งมาผิด จึงจะขอส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง กรมวิชาการเกษตรเกรงว่าสินค้าดังกล่าวจะถูกลักลอบนำกลับเข้ามายังประเทศไทยอีก จึงได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุอันตรายทางการเกษตร นักวิชาการ นิติกร และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบังของกรมวิชาการเกษตร ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปรามของกรมศุลกากรไปตรวจสอบเพื่อให้ทราบแน่ชัดว่า เป็นวัตถุอันตรายชนิดใด
ล่าสุดผลการตรวจสอบพบว่า เป็นสารกำจัดแมลงตามบัญชีวัตถุอันตรายที่กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบจำนวน 6 รายการ ในจำนวนนี้ 5 รายการ เป็นสารเข้มข้นมากกว่า 90% ได้แก่ คาร์โบฟูราน (carbofuran)ไพมีโทรซีน (pymetrozine) อิมิดาโคลพริด (imidacloprid) ไทอะโคลพริด (thiacloprid) และไซโปรโคนาโซล (zyproconazole) รวม 4.2 ตัน และตรวจพบ เมโธมิล (methomyl) สูตร 40% SP ซึ่งเป็นสารสำเร็จรูปอีก 16 ตัน
ทั้งนี้ วัตถุอันตรายที่ตรวจสอบดังกล่าวมีวัตถุอันตราย 2 รายการ คือ คาร์โบฟูราน และ เมโธมิลที่กรมวิชาการเกษตรไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนมาหลายปีแล้ว เพราะเป็นสารที่อยู่ในกระบวนการขอยกเลิกการใช้ (ban)
"วัตถุอันตรายทางการเกษตรที่บริษัทนำเข้ามาโดยไม่มีทะเบียนและใบอนุญาต เป็นการกระทำความทำผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และหากสารเหล่านี้หลุดรอดไปได้ สามารถนำไปผสมเจือจางเป็นสารกำจัดแมลงที่ขายตามท้องตลาดได้มากกว่า 40 ตัน ไม่นับรวม เมโธมิลที่จำหน่ายได้เลย การเฝ้าระวังของกรมวิชาการเกษตรร่วมกับกรมศุลกากรจึงเป็นการเฝ้าระวังตั้งแต่ต้นทางของการกำกับดูแลการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้งระบบ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าว