Movie: KILL YOUR FRIENDS (อยากดังต้องฆ่าเพื่อน)

02 Nov 2015
ฉาย 26 พฤศจิกายน 2558

ประเภท: Black Comedy

ผู้กำกับ: โอเว่น แฮร์ริส (ซีรี่ย์ Misfits)

นักแสดง: นิโคลัส ฮอลท์ (Warm Bodies, X-Men 1-2), เอ็ด ซคลีน(ซีรี่ย์ Game of Thrones, Transpoter 4), จอร์เจีย คิง (One Day, The Duchess)

เนื้อเรื่อง : สร้างจากนิยายขายดี เมื่อโปรดิวเซอร์เพลงหนุ่ม (ฮอลท์) ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาหน้าที่การงานของตัวเอง ในโลกเพลงบริท-ป็อปที่มีการแข่งขันสูง เขาตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาเพลงฮิตติดชาร์ทให้ได้ ถึงแม้ว่ามันทำให้เขาต้องจัดการใครทุกคนที่ขวางทางตัวอย่าง : https://www.youtube.com/watch?v=UD5SqZ8TrLc?นิยายสุดอื้อฉาว

หนังเรื่อง Kill Your Friends สร้างจากนิยายของ จอห์น นิเวน ซึ่งครั้งนี้เขาตัดสินใจเขียนบทหนังเองอีกด้วย นิยายอิงจากประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปีของนิเวนในตำแหน่งผู้จัดการศิลปินประจำค่าย London Record ในช่วงที่วงการเพลงป็อปอังกฤษ (บริตป็อป) กำลังรุ่งเรืองซึ่งเล่าเรื่องผ่านตัวละครนามว่า สตีเว่น สเตลฟ็อกซ์ ผู้จัดการจอมละโมบและทะเยอทะยานที่จะพาตนเองไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพ

"ผมเห็นความละโมบและพฤติกรรมเลวร้ายของพวกเขาในยุคนั้นแหละ แล้วผมเองละโมบและทำตัวเลวร้ายเช่นกัน ผมทำงานมาครบทศวรรษจนกระทั่งปี 2002 ผมก็ลาวงการ จนเมื่ออายุ 30 ก็มาเป็นนักเขียนเต็มตัว" นิเวนพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่อง Kill Your Friends โดยจุดมุ่งหมายสำคัญก็คือเพื่อเสียดสีวงการธุรกิจเพลงที่เขาเคยประสบมานี่เอง ตัวละครสเตลฟ็อกซ์ของนิเวนก็คือผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยควาทะเยอทะยานแท้จริง เขาจึงกล้าที่จะเหยียบหัวใครก็ได้เพื่อความสำเร็จด้านการงาน และแม้พฤติกรรมของเขาน่ารังเกียจแบบไม่น่าให้อภัย แต่เขาก็เปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ขัน สเตลฟ็อกซ์กลายเป็นแอนตี้ ฮีโร่ของคนในยุคที่ชื่อเสียง เงินทองและฐานะมีอำนาจควบคุมทุกอย่าง

"เขาเป็นคนเลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่าน แต่ผมก็เอาใจช่วยเขามาตลอด และผมไม่แคร์ว่าตัวละครเหล่านั้นจะน่าเห็นใจเพียงไร ผมก็เห็นว่าพวกเขาน่าสนใจดีนะ"

แล้วเพราะตัวละครในนิยายเรื่องนี้ปราศจากความผิดชอบชั่วดี อีกทั้งอุดมด้วยยาเสพย์ติดและประเด็นเรื่องเพศแบบตรงไปตรงมา Kill Your Friends จึงถูกสำนักพิมพ์หลายแห่งปฏิเสธตีพิมพ์ จนในที่สุดสำนักพิมพ์ Random House ก็เลือกนิยายนี้มาตีพิมพ์แล้วจัดจำหน่ายในเดือนมกราคม ปี 2008 ?เบื้องหลังการสร้าง

ความสำเร็จทั้งคำวิจารณ์และรายได้ของหนังสือกลายเป็นโอกาสสำคัญที่เรื่องราวอื้อฉาวในวงการเพลงมาโลดแล่นบนจอเงิน ผู้อำนวยการสร้าง เกรเกอร์ คาเมรอน ที่ซื้อลิขสิทธิ์นิยายมาทำหนังได้กล่าวชมว่านิยายมีสไตล์การเขียนเป็นเอกลักษณ์ด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ เขาจึงพยายามนำหนังสือเล่มนี้มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์เป็นครั้งแรก หลังจากคลุกคลีกับผลงานโทรทัศน์มานาน ส่วนนิเวนก็ยินดีที่จะให้คาเมรอนนำผลงานมาทำหนังเพราะเห็นว่าว่าคาเมรอนรอบรู้เรื่องวงการเพลงอย่างดีเยี่ยม เขาเข้าใจตัวนิยายและอยากให้นิเวนเป็นเขียนบทหนังซึ่งเป็นงานที่นิเวนมุ่งมั่นอยู่แล้ว

ทว่า ก่อนที่บทหนังเสร็จสมบูรณ์และถึงเวลาเปิดกล้อง ก็ต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี เพราะจะต้องเกลาบทหลายครั้งแล้ว บริษัทนายทุนหลายแห่งก็ปฏิเสธให้เงินทุนสร้าง นอกเสียจากปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องให้กลายเป็นเหตุเกิดในยุคปัจจุบัน แทนที่จะเป็นยุค 90 ตามนิยายหรือทำให้ตัวละครหลักดูน่าเห็นอกเห็นใจมากขึ้น กระนั้นนิเวนและคาเมรอนยังยืนกรานที่จะไม่ปรับเปลี่ยนเวลาท้องเรื่องและบุคลิกนิสัยตัวละครใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งปลายปี 2011 ผู้อำนวยการสร้าง วิลล์ คลาร์ก ผู้เคยปั้นหนังอังกฤษชั้นดีอย่าง This is England (2006), Submarine (2010), Attack the Block (2011) และ Filth (2013) รวมถึงบริหารบริษัท Altitude Film Entertainment เข้ามาบริหารงานสร้าง และเลือก โอเว่น แฮร์ริส ผู้มากประสบการณ์ด้านกำกับซีรี่ส์ มากำกับหนังจอเงินเป็นครั้งแรก เพราะเชื่อว่าแฮร์ริสมีศักยภาพมากพอในการทำหนังตลกร้ายและถ่ายทอดเรื่องราวด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์แบบที่เขาเคยทำในหนังทีวีเรื่อง Holy Flying Circus ซึ่งนำแสดงโดยเหล่าดาวตลก Monty Python

ทางด้านการดัดแปลงหนังสือมาเป็นบทหนังโดยนิเวน ก็เป็นงานที่ท้าทายไม่ใช่น้อยแม้เขาเคยเขียนบทหนังเรื่อง Cat Run (2011) มาก่อนอยู่แล้ว "มันเป็นประสบการณ์ค่อนข้างแปลกนะสำหรับงานเขียนบทหนัง เพราะถ้าคุณเขียนนิยาย ทุกสิ่งที่คุณเขียนก็จะโลดแล่นทันทีบนหน้ากระดาษ แต่ถ้าคุณเขียนบทหนัง คุณต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกๆคนและยึดถือวิธีการของผู้กำกับเป็นหลัก นิยายหนึ่งเล่มจะมีคนอ่านเป็นแสนๆ แต่เราต้องทำหนังสักเรื่องเรื่องให้มีคนดูเป็นล้านๆ" นิเวนกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการเขียนนิยายและเขียนบทหนัง ซึ่งงานนี้แฮร์ริสเข้ามาช่วยนิเวนดัดแปลงหนังสือจาก 400 กว่าหน้ามาเป็นบทหนัง 100 กว่าหน้า "ผมชอบน้ำเสียงที่ถ่ายทอดออกมาในหนังสือซึ่งดูมีเอกลักษณ์ ดังนั้นการคงความเอกลักษณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเขียนบทหนัง" แฮร์ริสกล่าวถึงในฐานะแฟนหนังสือตัวยง เช่นเดียวกับคาเมรอน ผู้อำนวยการสร้างพูดถึงการดัดแปลงหนังสือเรื่องนี้สู่จอเงินว่า "มันเป็นหนังสือที่มีชั้นเชิง แต่บางครั้งเมื่อคุณลดทอนบางอย่างในการทำเป็นบทหนัง คุณจะต้องเสียบางอย่างไปบ้าง ดังนั้นกลวิธีเด็ดก็คือรักษาความชั้นเชิงเหล่านั้นไว้แล้วแปลงออกมาสู่จอเงินซึ่งมันไม่ง่ายเลย" อีกทั้งคาเมรอนก็ยังพูดถึงแนวคิดของหนังเรื่องนี้ที่ต้องการนำเสนอว่าคล้ายกับหนังดังอย่าง The Wolf of Wall Street คือการเจาะลึกสู่วงการธุรกิจเฉพาะกลุ่มซึ่งแฝงด้านมืดของคนที่ต้องการพาตนเองถึงจุดสูงสุดของอาชีพ

"หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังตลกร้ายที่อิงจากชีวิตของผู้คนในแวดวงดนตรีซึ่งก็มีด้านมืดเหมือนกับแวดวงอาชีพอื่นๆนั่นคือความกระหายอำนาจและแรงทะเยอทะยาน เรื่องราวเหล่านั้นเลยน่าสนใจที่จะสำรวจว่าเราผูกพันกับสิ่งนั้นได้อย่างไร" แฮร์ริสกล่าวเสริมนิโคลัส โฮลท์ ฉีกบทบาทครั้งสำคัญ

สำหรับการหาใครสักคนมาสวมบทเป็นสเตลฟ็อกซ์ ตัวละครเอกของเรื่อง วิลล์ คลาร์กผู้อำนวยการสร้างมีความเห็นว่าสเตลฟ็อกซ์จะเป็นคนที่ไม่น่าเห็นใจเลยด้วยพฤติกรรมแสนเลวร้าย แต่อย่างน้อยก็มีเสน่ห์บางอย่างที่จะดึงดูดผู้ชมให้ติดตามไปกับเขา และแม้เขาจะไม่มีวันกลับเนื้อกลับตัว ผู้ชมก็ยังรู้ว่าการการกระทำของเขาน่ารังเกียจเพียงไร แต่บางครั้งผู้ชมอาจจะเอาใจช่วยเขาให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้สำเร็จก็ได้ แล้วไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้คือการที่ได้ นิโคลัส โฮลท์ มาสวมบทนำเป็นสเตลฟ็อกซ์ ซึ่งถือเป็นการพลิกบทบาทจากหนุ่มหน้าใสซื่อกลายเป็นผู้จัดการอำมหิตที่พร้อมจะกำจัดใครก็ได้เพื่อพาตนเองถึงจุดสูงสุดด้านการงาน

คาเมรอนประทับใจการแสดงของโฮลท์เมื่อเขาปรากฎในซีรี่ส์เรื่อง Skins และคิดว่าเขามีฝีมือมากพอที่จะทำให้ตัวละครสเตลฟ็อกซ์ดูน่าเห็นใจด้วยเสน่ห์ของเขา "แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้เขาจะเผยด้านเลวร้ายสุดขั้วในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน" คลาร์กล่าวถึงไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้

ส่วนโฮลท์ที่ชื่นชอบผลงานของนิเวน กล่าวถึงบทหนังและตัวละครของเขาว่า "บทหนังตลกมากๆ มันมีทั้งด้านมืดและจุดหักมุมแต่ผมขำไม่หยุด ผมคิดว่าตัวละครนี้ดูน่าสนใจดีที่เป็นหัวรุนแรงแต่ก็รักสนุกและแสวงหาความสำราญ แม้ตัวเขาจะรายล้อมด้วยความชั่วร้ายและเขาเองก็ทำเรื่องชั่วๆ แต่ผู้ชมก็จะชื่นชอบเขาได้เช่นกัน"

นอกจากนิโคลัส โฮลท์แล้ว หนังก็ได้นักแสดงดาวรุ่งขายฝีมืออีกมากมายมาร่วมจอกันคับคั่งไม่ว่าจะเป็น เจมส์ คอร์เดน จาก Into the Woods รับบทเป็น วอเตอส์ เพื่อนรักเพื่อนแค้นของสเตลฟ็อกซ์ ทอม ไรลี่ย์ จากซีรี่ส์ Davinci's Demons ในบท พาร์กเกอร์ ฮอลล์ คู่ปรับของสเตลฟ็อกซ์ และ เอ็ด สไครน์ ที่พึ่งโด่งดังจาก The Transporter: Refueled ในบท เรนท์ บริตป็อป ดนตรีประกอบกระแทกใจ

และการที่หนังเรื่องนี้กล่าวถึงวงการดนตรีบริตป็อป ซาวน์แทรกจึงกลายเป็นจุดขายสำคัญโดยได้ Junkie XL หนึ่งในศิลปินคอมโพเซอร์มือหนึ่งของตำนานที่ฝากฝีมือให้หนังฟอร์มยักษ์อย่าง Divergent, The Amazing Spiderman 2 และล่าสุด Mad Max: Fury Road ซึ่ง

นิโคลัส โฮลท์เคยร่วมแสดง มาทำดนตรีประกอบ และผู้ชมก็จะฟังเพลงประกอบจากวงดนตรีระดับตำนานยุค 90 อย่างเต็มอิ่มจุใจ ประกอบด้วย Oasis, Blur, Radiohead, The Prodigy และ The Chemical Brothers