นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทสามารถว่า "ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวม 14,687 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 790 ล้านบาท ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชลอตัวทั้งในและต่างประเทศ โดยสายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจน คือ สายธุรกิจ Mobile Multimedia มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,472 ล้านบาท กำไรสุทธิ 210 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในสายธุรกิจอื่นๆ ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะสายธุรกิจ ICT Solution มีรายได้รวมตลอด 9 เดือน ทั้งสิ้น 4,635 ล้านบาท กำไรสุทธิ 373 ล้านบาท มีงานในมือแล้วเกือบ 9,000 ล้านบาท โดยล่าสุดได้งานโครงการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) ของการท่าอากาศยานฯ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการของกรมที่ดินมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี มีโครงการที่รอประมูลอีกกว่า 7 พันล้านบาท อาทิ โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโครงการของกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น คาดว่าในปีนี้จะมีการเซ็นต์สัญญาโครงการใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท สายธุรกิจ Related Businesses มีรายได้1,933 ล้านบาท โดยธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ ภายใต้การบริหารของ บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ มีความโดดเด่นด้วยรายได้และกำไรที่เติบโตสูงสุด ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการเซ็นต์สัญญางานใหม่ มูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือสูงกว่า 1,300 ล้านบาท ปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้ทะลุ 1 พันล้านบาท ในขณะที่สายธุรกิจ U-Trans มีรายได้รวม 2,062 ล้านบาท โดยล่าสุด เทด้าซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่ม ได้เซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าต้นทางพระนครใต้ ของกฟน. มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท รวมมูลค่างานในมือรวมมากกว่า พันล้านบาทในปัจจุบัน นอกจากนี้ สายธุรกิจนี้ยังมีความคืบหน้าอย่างชัดเจนในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ (Waste Power Plant) ใน 5 จังหวัดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงและสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วง 1H/2559 และจะเริ่มรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องนับจาก 2560 เป็นต้นไป
ส่วนสายธุรกิจ Mobile Multimedia ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา อย่างไรก็ตาม ไอ-โมบายยังสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 2.5 ล้านเครื่องในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และบริษัทฯ ก็อยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้ตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนอกจากการสร้างเครือข่ายบริการ MVNO ให้แข่งแกร่งขึ้นด้วยการจับมือกับ กสท.โทรคมนาคม แล้ว ริษัทฯ ยังเตรียมรุกธุรกิจใหม่ด้าน Online e-commerce พร้อมๆ ไปกับการต่อยอดธุรกิจบริการคอนเทนส์ด้านกีฬา ไปสู่การทำ Sports Marketing เต็มรูปแบบผ่าน บริษัท ไอ-สปอร์ต จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในไตรมาส 2 ปีหน้า จึงเชื่อมั่นว่าสายธุรกิจ Mobile Multimedia จะสามารถพลิกฟื้นและมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไป
"ปีหน้าประเทศไทยมีแนวโน้มเทรนด์ใหญ่ๆ หรือเมกะเทรนด์ที่จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจของบ้านเรา คือ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี 2558 นี้ ,การคมนาคมที่ครอบคลุม ,การเข้าสู่สังคมของกลุ่มผู้สูงอายุ และการเข้าสู่ยุค 4G ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องหันมาให้ความสนใจมากขึ้น รวมถึงกลุ่มสามารถ โดยเราวางแผนรุกตลาดด้วยการผสานความร่วมมือกันของแต่ละสายธุรกิจ (Synergy) เพื่อสร้างทีมขายแบบ One Stop service เพื่อสร้างความคุ้มค่าสูงสดให้กับลูกค้า ภายใต้ความเชื่อของเราที่ว่า... เราต้องเปลี่ยนก่อน...ก่อนที่เราจะถูกให้เปลี่ยน" วัฒน์ชัย กล่าวปิดท้าย
"กลุ่มบริษัทสามารถ" มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างครบวงจร ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท และมี 4 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) และล่าสุด บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน)
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit