กลุ่ม ปตท. ร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นฯ ส.อ.ท. คาดการณ์ราคาน้ำมันปี 59

11 Nov 2015
ส่องตลาดน้ำมันปี 59 กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นร่วมกับทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท.. คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ 53-56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งยังผันผวนต่อเนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว สถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางและภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในการเปิดงานสัมมนา "The Annual Petroleum Outlook Forum จับตาราคาน้ำมันโลก รับมืออนาคตน้ำมันไทย" ซึ่ง ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM (Petrochemicals and Refining Integrated Synergy Management) ได้ร่วมกับ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อนำเสนอข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ตลอดจนแนวโน้มของทิศทางน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 2559 ว่าทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปีหน้า คาดว่าจะยังคงผันผวนและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบปี 2558 โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 53-56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ประมาณการราคาเฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ทั้งนี้ จากการที่สหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันดิบได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบลงได้ ประกอบกับกลุ่มโอเปก เช่น ซาอุดิอาระเบีย ที่ยังผลิตน้ำมันอย่างต่อเนื่องจากซาอุดิอาระเบีย และการกลับมาส่งออกน้ำมันของอิรักและอิหร่าน ส่งผลให้มีปริมาณน้ำมันในตลาดค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเคลื่อนไหวเกินกรอบที่คาดการณ์ไว้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ความขัดแย้งในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

"ผมหวังว่าการเสวนาในวันนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจและการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันวางแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐเพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายการใช้พลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ตลอดจนภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ในการวางแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศต่อไป" นายสรัญ กล่าวส่งท้าย