ภาพชุดนี้แวนโก๊ะเขียนขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 1890 เพียงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะย้ายออกจากสถานบำบัดที่ Saint-Remy ไปอยู่ที่เมือง Auvers ชานกรุงปารีส โดยภาพชุดนี้แสดงถึงพลังของศิลปินที่ยังพยายามจะสร้างงานในขณะที่สภาพจิตใจยังย่ำแย่จากการป่วยเป็นเวลานาน และพิสูจน์ว่าเขายังมีไฟที่จะทำงานต่อไป พร้อมไปกับการพยายามจะฟื้นฟูสุขภาพ แม้ว่าสุดท้ายหลังจากที่เขาวาดรูปชุดนี้เสร็จและย้ายไปอยู่เมือง Auvers เขาก็เสียชีวิตในอีกเพียงสองเดือนต่อมาจากการฆ่าตัวตาย บรรยากาศความสงบนิ่งของดอกไม้ในภาพชุดนี้ จึงมักจะถูกเปรียบว่าเป็นเหมือนความสงบในช่วงก่อนพายุจะเข้า ("Calm Before the Storm") นอกจากนี้ภาพในชุดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังและความแม่นยำช่ำชองของศิลปินในการลงจังหวะ วาดเส้น และละเลงสี ที่เฉียบคม แวนโก๊ะ วาดแต่ละภาพอย่างรวดเร็ว รวดเดียวจบ โดยเขาบอกว่าเหมือนกับธรรมชาติที่ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา เช่นเดียวกับดอกไม้ที่หลังจากเบ่งบานไม่นานก็จะต้องแห้งเหี่ยวไป
จากผลงานของแวนโก๊ะแสดงให้เห็นว่าแวนโก๊ะได้เลือกใช้สีที่มีความโดดเด่น เน้นการตัดกันของสีต่างๆ เช่น เหลืองกับม่วง ชมพูกับเขียว และประเด็นสำคัญที่เป็นที่ศึกษาของนักประวัติศาสตร์ศิลปะสำหรับงานชุดนี้ก็คือการที่แวนโก๊ะเลือกใช้สีแดงเข้มเลือดหมู (Red Lake) ผสมลงไปให้ภาพออกมามีเฉดสีที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีแดงเข้มนี้ก็เลือนลางไปจนปัจจุบันแทบไม่เหลือให้เห็นแล้ว ภาพที่เราเห็นในปัจจุบันจึงออกมาเป็นอีกโทนสีหนึ่งซึ่งต่างไปจากตอนที่แวนโก๊ะวาดเสร็จใหม่ๆ เช่น สีม่วงของดอกไอริสก็กลายมาเป็นสีน้ำเงิน กลีบกุหลาบขาวที่มีสีแดงแซมอยู่อ่อนๆ ก็กลายเป็นสีขาวล้วน และผ้าปูโต๊ะสีชมพูก็กลายเป็นสีขาวไป ทั้งหมดนี้ก็กลับสะท้อนให้เห็นถึงความไม่จีรังของธรรมชาติซึ่งก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ศิลปินต้องการจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าฉงนในอีกมิติหนึ่ง จนเปรียบได้ว่าภาพวาดก็จืดจางลงได้เหมือนดอกไม้ "Paintings Fade Like Flowers"
นอกจากภาพดอกไม้ในแจกันแล้ว แวนโก๊ะยังได้วาดภาพชุดทุ่งข้าวสาลี (Wheat Fields) และทิวสน (Cypresses) รอบเมือง Arles, Saint-Remy และ Auvers ที่ต่างก็แสดงถึงแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ผสมผสานไปกับประเด็นต่างๆ ที่ศิลปินต้องการจะนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญลักษณ์ทางศาสนาและจิตวิญญาณ ที่วัฏจักรชีวิตของพืชพันธ์ก็ไม่ต่างกับชีวิตของมนุษย์ที่มีเกิด เติบโต และตายลง รวมไปถึงประเด็นเรื่องวิถีชีวิตของชาวไร่ที่ทำงานเก็บเกี่ยวในทุ่ง ซึ่งก็เชื่อมโยงไปถึงผลงานชุดภาพวาดชาวบ้านเกษตรกรยุโรปที่แวนโก๊ะก็นิยมวาดไว้ด้วยเช่นกัน ในช่วง 1 ปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ระหว่างที่แวนโก๊ะพำนักอยู่ในสถานบำบัดที่ Saint-Remy แวนโก๊ะได้วาดภาพชุด Wheat Field with Cypresses ที่ได้ถ่ายทอดภาพทิวทัศน์ของทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองอร่ามอันกว้างไกวที่ปลิวไหวอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรงของแคว้นโปรวองซ์ของฝรั่งเศส ความสว่างไสวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของข้าวสาลีถูกตัดกับทิวสนไซเปรสเบื้องหลังที่ตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและมีใบไม้รกทึบสีเข้มจนเกือบเป็นสีดำชวนให้นึกถึงความตาย เช่นเดียวกับที่ต้นสนถูกจัดเป็นพืชที่เป็นสัญลักษณ์ของการไว้อาลัยและนิยมปลูกในสุสาน (โดยทิวต้นสนนี้ แวนโก๊ะก็ยังได้ถ่ายทอดเอาไว้ในภาพ The Starry Night อันโด่งดังและถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน) ในจดหมายถึงธีโอ น้องชายของเวนโก๊ะ (ผู้เป็นตัวแทนขายภาพให้กับเขา) แวนโก๊ะได้เขียนถึงภาพ The Wheat Field With Cypresses นี้ว่าเป็นภาพชุดฤดูร้อนที่ดีที่สุดของเขา
The Metropolitan Museum of Art Store ได้ถ่ายทอดความสวยงามในธรรมชาติจากผลงานที่แวนโก๊ะได้สะท้อนไว้ผ่านผลงานต่างๆ ออกมาเป็นสินค้าที่หลากหลาย เช่น ภาพพิมพ์แคนวาส โปสเตอร์ติดผนัง เครื่องเขียน ผ้าพันคอ เสื้อยืด นาฬิกา และสินค้าตกแต่งบ้าน โดยสินค้าทั้งหมดมีจัดจำหน่ายที่ The Met Store ทั้ง 3 สาขาในประเทศไทย และโปรโมชั่นพิเศษสำหรับช่วงเดือนกันยายน 2558 นี้ สินค้าแวนโก๊ะทุกชิ้นลดราคา 15%สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริษัท กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์ จำกัด (ที่ปรึกษาด้านงานประชาสัมพันธ์)โทร.02-284-2662 แฟกซ์. 02-284-2287,2291 www.kanokratpr.comคุณกนกรัตน์ วีรานุวัตติ์ E-mail: [email protected]
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit