การปฏิรูประบบสุขภาพที่ผ่านมาจึงต้องทำให้ครอบคลุมบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช โดยได้บรรจุเรื่องการบริการทางจิตเวชเป็น 1 ใน 11 กลุ่มโรคสำคัญ เพื่อให้ 12 เขตสุขภาพ และ กทม.นำการบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำงานในเขตสุขภาพ สร้างระบบดูแลผู้ป่วยรายเก่าและรายใหม่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายบริการไร้รอยต่อกับโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งมี 18 แห่งทั่วประเทศ ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยระยะต้นเน้น 4 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคจิต โรคซึมเศร้า รวมทั้งบำบัดผู้ติดสุรา ติดยาเสพติด ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดการบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึง เขตบริการสุขภาพสามารถดูแลประชาชนในเขตของตนเอง รวมทั้ง ให้การฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วย ป้องกันมิให้เกิดภาวะเสื่อมถอยของสมอง ตลอดจนฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยในกรณีที่มีความเสื่อมถอยแล้ว ซึ่งล่าสุด พบว่า ผู้ป่วยโรคจิตเข้าถึงบริการ ร้อยละ 57 อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และสังคมในการส่งเสริมการเข้าถึงระบบบริการ การสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟู การให้โอกาสทางอาชีพ การยอมรับผู้ป่วยที่หายดีแล้วกลับเข้าสู่ชุมชนและสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยที่อาการดีสามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีศักดิ์ศรีในสังคมต่อไปได้ อดีต ปลัด สธ. กล่าวด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน สังคมยังคงมีอคติกับผู้ป่วยจิตเวช และเมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรงปรากฏเป็นข่าวครึกโครมซึ่งอาจมีเพียงไม่กี่ครั้ง สังคมมักตั้งข้อสงสัยว่าป่วยจริงหรือไม่ จะต้องรับโทษหรือไม่ รวมทั้ง ผู้ป่วยโรคจิตน่ากลัวกว่าทุกคนจริงหรือไม่ เหล่านี้ยิ่งทำให้สังคมเกิดความกลัว ความหวาดระแวง และความเกลียดชัง ตอกย้ำ ตราบาป (stigma) ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ป่วยทางจิตมีเพียงจำนวนน้อยที่ก่อเหตุรุนแรงขึ้นในสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับการกระทำความผิดจากบุคคลที่สภาพจิตปกติ ทั้งนี้ จากการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ ครั้งล่าสุด คาดมีผู้ป่วยโรคจิต ประมาณ 5 แสนคน ซึ่ง จากรายงานการบำบัดรักษา การจำหน่ายผู้ป่วยและการติดตามผลการบำบัดรักษา ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ประจำปี 2557 พบผู้ป่วยทางจิตก่อคดี 172 ราย ซึ่งไม่ถึง ร้อยละ 1 ขณะที่ ความผิดร้ายแรงฐานฆ่า/พยายามฆ่า มีประมาณ 1 ใน 5 (ร้อยละ 20.99) ส่วนที่เหลือ เป็นความผิดคดีอื่นๆ เช่น ทำร้ายร่างกาย บุกรุก ยาเสพติด วางเพลิง ฯลฯ โดยผู้ป่วยเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา ฟื้นฟู และติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรฐานเดียวกัน ป้องกันไม่ให้เกิดการก่อคดีซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำว่า ผู้ป่วยทางจิตก่อคดีรุนแรงมีจำนวนไม่มาก และเมื่อใดก็ตามที่ตกเป็นข่าว ผู้เจ็บป่วยทางจิตเวชอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่เคยมีคดี มักพลอยถูกตราหน้าและได้รับผลกระทบ เกิดตราบาป (stigma) ติดตัวด้วยเสมอ ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ป่วยจิตเวชเหล่านี้สามารถรักษาให้หายและกลับคืนสู่สังคมได้ สามารถประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ซึ่งยิ่งเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้เร็วเท่าไร ยิ่งดี ล่าสุด ปี 2557 จากโครงการทดลองจ้างงานผู้ป่วยจิตเวช อาทิ ผู้ป่วยของสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา รพ.ศรีธัญญา สถาบันราชานุกูล และ รพ.ยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ ด้วยกระบวนการประเมินความสามารถและความถนัดของผู้ป่วย การเตรียมความพร้อมและเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เช่น การสื่อสาร การตรงต่อเวลา การปรับตัวเข้ากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ความปลอดภัยในการทำงานควบคู่ไปกับการฝึกทักษะพื้นฐานเฉพาะทางด้านอาชีพ มีผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและชุมชน ได้รับการจ้างงาน หาเลี้ยงตนเองได้ รวมไม่น้อยกว่า 25 ราย ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยจิตเวช จึงต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปดำเนินชีวิตในสังคมได้ คือ 1.การดูแลรักษา ตามหลักวิชาการแพทย์ 2.ครอบครัว ที่จะให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ ให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และ 3.สังคม ที่จะให้โอกาสผู้ป่วยดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันได้ และ ในวันนี้ กรมสุขภาพจิตก็ได้เปิดบ้านหลังคาแดงอีกครั้ง เพื่อสะท้อนและตอกย้ำให้สังคมภายนอกได้เห็นถึงศักยภาพของผู้ป่วยที่พร้อมกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี สามารถพึ่งพาตนเอง เปลี่ยนจากภาระ มาเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญของสังคมได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้าน นพ.สินเงิน สุขสมปอง ผอ.สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวเสริมว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตสังคมและอาชีพแก่ผู้ป่วยจิตเวช เพื่อกลับคืนสู่สังคม ได้นำแนวคิดการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยจิตเวช (recovery model) ของ New Life Psychiatric Rehabilitation Association จากประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการฟื้นฟูสมรรถภาพในการฝึกอาชีพให้แก่ผู้ป่วยมาใช้ในประเทศไทย ด้วยหลักการที่ว่า ผู้ป่วยจิตเวชมีศักยภาพที่จะฟื้นคืนชีวิตกลับเข้าสู่สังคมได้ อย่างมีศักดิ์ศรีและพึ่งพาตนเองได้ โดยได้เปิดร้านกาแฟหลังคาแดงขึ้นในพื้นที่อาคารผู้ป่วยนอกจิตเวช ชั้น 2 สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ใช้งบประมาณสนับสนุนจากเงินพระราชทาน"กองทุนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9" และการออกแบบก่อสร้างพร้อมสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ โดย บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทดลองทำงานในสถานประกอบการจริง ตลอดจน ครอบครัว ชุมชน และสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสมรรถภาพฯ การสนับสนุนการฝึก และการประกอบอาชีพตามความสามารถ ซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขามีโอกาสกลับมามีที่ยืนอีกครั้งในสังคม ด้วยความภาคภูมิใจ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit