นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดทุนไทยในปี 2558 ที่ผ่านมา ว่านับเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมาก โดยปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยมาจากภาวะความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลกซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย อาทิ ความกังวลของนักลงทุนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและภาวะแรงเทขายอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน รวมไปถึงปัจจัยภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังมีการฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ปิดอยู่ที่ระดับ 1,288.02 จุด โดยปรับตัวลดลง 209.65 จุด หรือลดลงประมาณ 14% เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นไทยเมื่อปลายปี 2557
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน LTF ในปีที่ผ่านมา ต่างได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม กองทุน LTF ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาติดลบ แต่มีเพียง 5 กองทุนเท่านั้นที่มีผลการดำเนินงานที่เป็นบวก หนึ่งในนั้นก็คือกองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ของบลจ.กสิกรไทย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 ตัว และจัดอยู่ในกลุ่ม Equity General ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ( AIMC) ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานในช่วง 1 ปี อยู่ที่ 1.86% และให้ผลตอบแทนเป็นอันดับที่ 2 จากการจัดอันดับของ Morningstar ซึ่งถือว่าเป็นผลการดำเนินงานที่โดดเด่นเอาชนะทั้งเกณฑ์มาตรฐานดัชนีหุ้นไทยซึ่งอยู่ที่ -14.01% และเอาชนะค่าเฉลี่ยของกองทุน LTF ทั้งอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ -8.34% (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ธ.ค 2558) นอกจากนี้กองทุน K20SLTF ยังมีผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปี อยู่ในอันดับที่ 2 จากการจัดอันดับของ Morningstar เช่นเดียวกัน โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.70% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -0.41% ขณะที่ผลการดำเนินงานในระยะสั้นทั้งช่วง 3 เดือนและ 6 เดือน ต่างให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับที่ 1 เอาชนะกองทุน LTF ทั้งอุตสาหกรรม เป็นการแสดงให้เห็นว่ากองทุน K20SLTF ของบลจ.กสิกรไทย สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
สาเหตุที่กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การบริหารกองทุนในแนว Selective หรือเป็นสไตล์การลงทุนที่เน้นการคัดเลือกหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งกองทุน K20SLTF จะมีนโยบายที่เน้นการลงทุนในหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูงไม่เกิน 20 ตัว นอกจากนี้ส่วนสำคัญก็คือการคัดเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีการดูภาพรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อพยายามรักษาผลการดำเนินงานให้มีความสม่ำเสมอ โดยจะใช้การวิเคราะห์ทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและปริมาณ ซึ่งปัจจัยเชิงคุณภาพจะมีการวิเคราะห์ถึงลักษณะธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันต่างๆ ส่วนปัจจัยเชิงปริมาณจะมีการวิเคราะห์ทั้งในแบบ Top-Down และ Bottom-Up เพื่อมองหาหุ้นที่มีความน่าสนใจซึ่งมีแนวโน้มเติบโตได้ดีหรือเป็นหุ้นที่ยังมีระดับราคาไม่แพงแต่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้สูง รวมถึงหุ้นที่มีธีมการลงทุนที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกหุ้นบางตัวที่มีภาวะความอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ (Defensive Stock) ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้จะยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกได้แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีก็ตาม ดังนั้นกองทุน K20SLTF จึงนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและเหมาะสมกับสภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ยังคงมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง
"สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2559 นี้ คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยในระยะสั้นมีปัจจัยภายนอกประเทศที่จะต้องจับตามองคือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัว การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ในปีนี้ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนปัจจัยภายในประเทศจะต้องติดตามความคืบหน้าของมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลมีการเร่งดำเนินนโยบายให้เป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวในดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ตัวเลข GDP ของไทยในปี 2559 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5%-3.5% และบลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ไว้ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด หรือคิดเป็นอัตราส่วน Forward P/E ในปี 2559 ที่ระดับ 15.5 - 16 เท่า และคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2559 ว่าจะเติบโตได้ในระดับประมาณ 17.5% โดยกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.กสิกรไทยในปีนี้ จะเน้นการลงทุนในรายหลักทรัพย์ (Stock Selection) โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและมีระดับราคาที่ไม่แพงจนเกินไป รวมทั้งหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์เชิงนโยบายภาครัฐและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ เช่น หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างและขนส่ง และกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น" นางสาวธิดาศิริกล่าวในที่สุด
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน K20SLTF ของ บลจ. กสิกรไทย สามารถขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit