กัส เป็นเด็กชายวัย 10 ปีที่ลุ่มหลงกีฬามวยปล้ำ แต่ความรุนแรงบนผืนผ้าใบเหล่านั้นเป็นสิ่งที่แม่ทั้งสองของกัสมีคำถาม – วัฒนธรรมความรุนแรงและการสร้างนิยามให้แก่ 'ความเป็นชาย' ที่ปรากฏบนจอมิใช่สิ่งที่พวกเธอต้องการให้ลูกชายของตนยอมรับ แล้วครอบครัวนี้จะหาทางออกอย่างไรเมื่อกำลังจะมีการแข่งขันมวยปล้ำครั้งยิ่งใหญ่มาเยือนซิดนีย์ และกัสร่ำร้องเหลือเกินให้แม่พาตนไปดู
เอโบนี่ เป็นเด็กหญิงวัย 12 ปีผู้กำลังดิ้นรนค้นหาที่ทางให้แก่ตนเองท่ามกลางสภาพแวดล้อมของชานเมืองซิดนีย์ที่ซึ่งความสัมพันธ์ของแม่-แม่ของเธอไม่ได้รับการยอมรับ เอโบนี่ฝึกซ้อมร้องเพลงอย่างหนักด้วยความหวังจะสอบเข้าโรงเรียนศิลปะการแสดงนิวทาวน์ให้ได้ ทั้งเพราะเธอยากเป็นนักร้อง และเพราะเธอเชื่อว่าที่นั่น เธอกับครอบครัวของเธอจะได้รับการยอมรับเสียที แต่ยิ่งวันออดิชั่นใกล้เข้ามา ดูเหมือนเอโบนี่ก็ยิ่งถูกท้าทายให้ต้องตั้งคำถามว่าอะไรกันแน่คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
แกรห์ม เป็นเด็กชายวัย 11 ปีที่อ่านหนังสือไม่ออก เขารู้สึกย่ำแย่อับอายกับปมข้อนี้ รวมกับการถูกครอบครัวแท้ๆ ทิ้งตั้งแต่เด็กและต้องมาอยู่ในความอุปถัมภ์ของครอบครัวใหม่ซึ่งมีผู้ปกครองเป็นชายสองคน ชีวิตแรกรุ่นของเขายิ่งยากเข็ญขึ้นอีกเมื่อเขากับพ่อๆ ต้องย้ายบ้านใหม่ไปอยู่ในประเทศห่างไกลที่ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเสียยิ่งกว่าที่ที่เขาจากมา ในท่ามกลางปัญหาสารพัดเหล่านี้ เด็กชายตัวน้อยต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างและเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขากลัว โดยเฉพาะเมื่อคุณครูมอบหมายการบ้านให้เด็กในห้องเขียนเรียงความว่าด้วย 'ชีวิตของฉัน'
แม็ตต์ เป็นเด็กชายวัย 11 ปีที่กำลังเผชิญกับความขัดแย้งเรื่องตัวตนและอัตลักษณ์ แม่ของเขาศรัทธาแรงกล้าในศาสนาและไปโบสถ์ทุกอาทิตย์แม้ว่านักบวชที่นั่นจะประกาศชัดว่าคู่รักเพศเดียวกันเป็นผู้กระทำผิดต่อพระเจ้า ความไม่สอดคล้องต้องกันระหว่างคำสอนของบาทหลวงและความรักที่มีต่อแม่ทำให้แม็ตต์เกิดคำถามต่อทุกอย่าง และเพื่อจะแสวงหาคำตอบให้ตัวเอง เด็กชายต้องกล้าพอจะยืนขึ้นเอ่ยความคับข้องของเขาทั้งต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า นายกรัฐมนตรี และที่เหนืออื่นใดคือ แม่ของเขาเองDIRECTOR'S STATEMENT
ตลอดระยะห้าปีที่ผ่านมา เรื่องราวของสิทธิในการแต่งงานและการมีลูกของครอบครัวพ่อแม่เพศเดียวกันกลายเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงวงกว้างไปทั่วโลก คนดังและนักการเมืองมากมายออกมาตอกย้ำซ้ำๆ ว่า "การแต่งงานมีขึ้นก็เพื่อผลิตลูกหลาน ดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเด็กๆ จำเป็นต้องมีครบทั้งพ่อและแม่" ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปทั่วว่าครอบครัวที่ไม่มีแม่หรือไม่มีพ่อจะส่งผลร้ายทำลายเด็กๆ และฉันได้ยินเสียงพวกเขากระซิบกระซาบอย่างขัดข้องใจไม่เว้นวันว่า "อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเรายอมให้เกย์แต่งงานกันตามกฎหมายได้? จะเป็นยังไงถ้าพวกเขามีลูก? สังคมจะยังโอเคอยู่รึเปล่า?"
แต่แม้คู่รักเกย์จะยังไม่อาจแต่งงานกันได้ (ในอีกหลายประเทศทั่วโลก) พวกเขาจำนวนมากก็มีลูกด้วยกันมานานแล้ว หรือพูดให้ตรงกว่านั้น โลกของเราอยู่ในยุคสมัย 'เกย์บี้บูม' (Gayby boom) และเด็กๆ เหล่านั้นก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความคิดเห็นและประสบการณ์ชีวิตเป็นของตัวเอง ...ฉันก็เป็นหนึ่งในเด็กๆ 'เกย์บี้'เหล่านี้
ไม่กี่ปีที่แล้ว ฉันไปดูหนังเรื่อง The Kids are Alright ซึ่งถือเป็นหนังฟิกชั่นเรื่องแรกที่เล่าถึงครอบครัวคู่รักเลสเบี้ยนเลี้ยงลูก และระหว่างเดินกลับบ้านหลังหนังจบ ฉันก็พบว่าใจของฉันสั่น สติกระเจิดกระเจิง และบนหน้าฉันมีน้ำตาไหลอาบ ฉันไม่เคยเห็นภาพครอบครัวตัวเองถูกฉายขึ้นบนจอใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย หนังทำให้ฉันตระหนักถึงความคล้ายคลึงกันในรายละเอียดมากมายอันเกิดขึ้นกับครอบครัวที่มีผู้หญิงสองคนก่อร่างขึ้นด้วยกัน หัวใจฉันเชื่อมโยงเต็มที่กับวัยรุ่นในหนังและอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเด็กๆ ที่มีพ่อแม่เป็นชายจริงหญิงแท้ก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันนี้ใช่ไหมทุกคราวที่ได้ดูหนัง ฉันทั้งสุขใจที่ในที่สุดก็ได้เห็นเรื่องของครอบครัวที่เหมือนเรื่องของฉันเอง แต่พร้อมกันนั้นฉันก็โกรธมากที่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เรื่องราวแบบนั้นถูกเล่าออกมา
Gayby Baby เป็นหนังสารคดีเรื่องแรกที่เล่าจากมุมมองของเด็กๆ ในครอบครัวเกย์และเลสเบี้ยน และฉันหวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสธารแห่งการถ่ายทอดเรื่องราวเช่นนี้อีกมากมาย เด็กๆ ต้องการเรื่องเล่าที่สะท้อนให้เห็นชีวิตของพวกเขาและความหลากหลายของโครงสร้างครอบครัวที่พวกเขามี เราต้องการเรื่องเล่าที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ป่าวประกาศอะไรประเภทว่า "เราก็เหมือนๆ กันแหละ ครอบครัวเราเพอร์เฟ็กต์ ครอบครัวเราก็เหมือนครอบครัวพวกคุณ!" ... Gayby Baby ไม่ใช่หนังชวนเชื่อของเหล่าครอบครัวเควียร์ แต่เป็นหนังที่ซึ่งครอบครัวอันมีความรักเป็นแกนกลางก็ล้วนยังต้องดิ้นรนต่อสู้ ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างความตั้งใจอันดีและการบีบคั้นของสังคมรอบข้าง ครอบครัวที่พ่อแม่ยังอาจทำอะไรที่ "มากเกินไป" และลูกๆ ก็ยังคง "น่าผิดหวัง"ครอบครัวพ่อแม่เพศเดียวกันที่อาจห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ แต่ก็มิได้ห่างไกลมากไปกว่าครอบครัวอื่นใดในโลก
ปี 2015 ฉันหวังเหลือเกินว่า เราจะก้าวกระเถิบขึ้นอีกขั้นจากการต้องคอยอธิบายเพื่อปกป้องตัวเอง มาสู่พื้นที่ใหม่ที่ซึ่งเราสามารถจะตั้งคำถามที่ยังไม่รู้คำตอบกระจ่างชัด และเฝ้ามองการเติบโตของเด็กๆ เหล่านี้ กัส,เอโบนี่, แม็ตต์ และแกรห์ม- ที่ซึ่งตัวตนของพวกเขามิได้ถูกนิยามด้วยความเป็นเพศใดๆ ของคนเป็นพ่อและแม่
เมื่อตอนที่ ดอนน่า แม่ของฉันตัดสินใจเปิดเผยตัวให้ยายรู้นั้น ปฏิกิริยาของยายเต็มไปด้วยความผิดหวังเพราะยายใฝ่ฝันมานานว่าอยากมีหลาน การที่ลูกสาวคนเดียวกลายเป็นเลสเบี้ยนดูเหมือนเป็นจุดจบสิ้นของครอบครัว ยังไม่รวมถึงการสร้างความรู้สึกห่วงใยว่าอนาคตแม่ของฉันคงต้องแก่เฒ่าไปตามลำพังคนเดียว ...ยุคสมัยปัจจุบันของเรานี้จึงถือเป็นห้วงเวลาน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นช่วงเวลาแรกในประวัติศาสตร์ที่ LGBTสามารถวาดหวังถึงการเป็นพ่อแม่และเป็นครอบครัวอย่างจริงจัง
เวลาสี่ปีที่ฉันใช้ไปกับการทำหนังเรื่องนี้ คลุกคลีกับเด็กๆ และเป็นประจักษ์พยานต่อการเติบโตของพวกเขานั้น นับเป็นห้วงเวลาที่สุขสันต์ ฉันหวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมเกิดแรงบันดาลใจที่จะสำรวจหาคำตอบว่า"อะไรคือครอบครัว" มันควรถูกนิยามอย่างไรและโดยใครกันแน่ ...เมื่อฉันถามเอโบนี่ เด็กหญิงวัย 12 ปีใน Gayby Baby ว่าครอบครัวคืออะไร เธอตอบว่า "คนที่ทำให้คุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือครอบครัวของคุณ"
เด็กๆ เหล่านี้เข้าใจความหมายของมัน เราเหลือเพียงแค่เฝ้ารอวันที่คนอื่นๆ ในโลกจะเข้าใจ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit