"เอ็มโอยูทั้งสองฉบับจะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการทางการเกษตรและประมงของไทยกับประเทศหมู่เกาะฟิจิ และสนับสนุนการอำนวยความสะดวกทางการค้าเป็นช่องทางให้ไทยขยายการค้าและลงทุนไปยังฟิจิและประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกอื่นๆ เนื่องจากฟิจิเป็นตลาดใหม่ในภูมิภาคแปซิฟิกใต้ รวมถึงเป็นกลไกสำคัญให้เกิดการรายงานข้อมูลการทำประมงระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยป้องกัน ยับยั้ง และขจัด การทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม( IUU) โดยปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าประมงสด แช่แข็ง แช่เย็น แปรรูปจากฟิจิประมาณ 265 ล้านบาท/ปี" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
หลังจากเอ็มโอยูแล้วทั้งสองประเทศจะตั้งคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร และคณะทำงานร่วมด้านประมงระหว่างไทย-ฟิจิ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือและรายละเอียดสาขาความร่วมมือที่ทั้ง 2 ฝ่ายสนใจและ มีศักยภาพ โดยจะจัดให้มีการประชุมทุกๆ 2 ปี ภายใต้รูปแบบความร่วมมือสำคัญๆ คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักวิชาการและนักวิจัย การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนา และการประชุมในเรื่องที่สนใจร่วมกัน การเพิ่มขีดความสามารถโดยการฝึกอบรมและการศึกษาดูงาน รวมถึงการสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ
สำหรับการค้าสินค้าเกษตรและประมงไทย-ฟิจิ ในระหว่างปี 2555-2557 มีสัดส่วนการค้าสินค้าเกษตรร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับโลก โดยมีมูลค่าสินค้าเกษตรเฉลี่ยปีละ 723 ล้านบาท เป็นมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละ 433 ล้านบาท มีสินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น สินค้าประมงสด แช่แข็ง แช่เย็น แปรรูป และมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยปีละ 289 ล้านบาท มีสินค้าส่งออกที่สำคัญ เช่น ข้าว อาหารปรุงแต่ง และน้ำตาล ฯลฯ ทั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ากับฟิจิมาโดยตลอด.