AIRA ลุยธุรกิจอสังหาฯ ตั้งบริษัท “ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้” ทุนประเดิม 200 ล้านบาท หนุนรายได้เติบโตแข็งแกร่ง

02 Jul 2015
บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ("AIRA") พร้อมลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งบริษัทย่อย "ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้"ทุนประเดิม 200 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "นลินี งามเศรษฐมาศ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เตรียมแผนขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเน้นการพัฒนารูปแบบอาคารสูง คาดว่าในครึ่งหลังปีนี้จะเห็นความชัดเจนด้านการลงทุนอย่างแน่นอน

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA ผู้ดำเนินธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจการเงิน และอื่นๆ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติให้บริษัทฯ จัดตั้งบริษัทไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งบริษัทฯถือหุ้น 100% โดยมีทุนประเดิม 200 ล้านบาท

ทั้งนี้วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัท "ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้" เพื่อเป็นการขยายการลงทุนและกระจายความเสี่ยงในการลงทุนของบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้บริษัทฯในอนาคตที่ยั่งยืน และมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯเล็งเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มการเติบโต และสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว โดยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าคาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น

ดังนั้นธุรกิจอสังหาฯจะมีความโดดเด่นมากขึ้น ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ และความต้องการที่อยู่อาศัย ออฟฟิศสำนักงาน ในรูปแบบให้เช่าทั้งระยะยาว และระยะสั้น ถือเป็นการลงทุนที่เพิ่มช่องทางการรับรายได้ที่หลากหลายมากขึ้นของบริษัท

"ดังนั้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่บริษัทฯให้ความสนใจที่จะเข้าลงทุน โดยลักษณะการลงทุนนั้นก็จะเป็นไปในรูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้างเป็นหลัก เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว" นางนลินี กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มว่า สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วฯ นี้ เพราะปัจจุบันได้มีการหารือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้างอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้นเชื่อว่าภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2558 จะมีการเติบโตที่สดใสขึ้น จากการเติบโตของธุรกิจ ที่บริษัทฯได้เข้าลงทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และบริษัทยังคงเดินหน้านโยบายการเข้าไปลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน ในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่า 75% และกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินไม่เกิน 25% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ และภูมิภาคเอเชีย

นอกจากนี้การลงทุนที่หลากหลายธุรกิจในกลุ่ม Holding Company เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ที่มีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต