Mad Max: Fury Road - ถนนโลกันตร์

14 May 2015
ด้วยฝีมือของผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ ผู้ให้กำเนิดหนังยุคหลังวันสิ้นโลกและผู้สร้างสรรค์แฟรนไชส์ในตำนานอย่าง “Mad Max” เกิดเป็น “Mad Max: Fury Road” การกลับมาของนักรบแห่งท้องถนน แม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี

แมด แม็กซ์ ผู้ถูกหลอกหลอนด้วยอดีตอันสับสนปั่นป่วน เชื่อว่าหนทางที่ดีที่สุดในการอยู่รอดก็คือการท่องโลกไปตามลำพัง ทว่าเขากลับต้องเดินทางไปกับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตระเวนไปทั่วเวสต์แลนด์ในรถวอร์ริกที่ขับโดย อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา คนกลุ่มนี้หลบหนีออกจากซิตาเดลซึ่งปกครองโดยจอมเผด็จการ อิมมอร์แทน โจ ผู้ถูกฉกฉวยเอาสิ่งที่ไม่อาจหามาทดแทนได้ ด้วยความโกรธแค้น ขุนศึกรายนี้จึงนำแก็งค์ของตนออกติดตามพวกกบฏอย่างโหดเหี้ยมในสงครามอ็อกเทนสูงบนท้องถนน

ทอม ฮาร์ดี (“The Dark Knight Rises”) รับบทเป็นตัวละครตามชื่อเรื่องใน “Mad Max: Fury Road” อันเป็นภาคที่สี่ของแฟรนไชส์นี้ นักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์ ชาร์ลิซ เธรอน (“Monster,” “Prometheus”) รับบทเป็นอิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา นอกจากนี้ยังมีดาราอย่างนิโคลาส โฮลต์ (“X-Men: Days of Future Past”) รับบทเป็น นักซ์, ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น (“Mad Max,” “Sleeping Beauty”) รับบทเป็น อิมมอร์แทน โจ, จอช เฮลแมน (“X-Men: Days of Future Past”) รับบทเป็น ซิลต์, นาธาน โจนส์ (“Conan the Barbarian”) รับบทเป็น ริกตัส อีเร็กตัส, กลุ่มภรรยา เดอะ ไวฟ์ ได้แก่ โรซี ฮันทิงตัน-ไวต์ลีย์ (“Transformers: Dark of the Moon”) รับบทเป็น เดอะ สเปลนดิด อังฮารัด, ไรลีย์ คีโอ (“Magic Mike”) เป็น แคปเปเบิล, โซอี คราวิตซ์ (“Divergent”) รับบทเป็น โทสต์ เดอะ โนว์อิง, แอบบี ลี เป็น เดอะ แด็ก และคอร์ตนีย์ อีตัน เป็น ชีโด เดอะ ฟราไจล์ นอกจากนี้ยังมี จอห์น โฮเวิร์ด, ริชาร์ด คาร์เตอร์, นักร้อง/นักแต่งเพลง/นักแสดง iOTA, แองกัส แซมพ์สัน, เจนนิเฟอร์ ฮาแกน, เมแกน เกล, เมลิสซา แจฟเฟอร์, เมลิตา จูริสิก, กิลเลียน โจนส์ และจอย สมิธเธอร์สผู้กำกับรางวัลออสการ์ จอร์จ มิลเลอร์ (“Happy Feet”) กำกับหนังเรื่องนี้จากบทที่เขาเขียนร่วมกับ เบรนแดน แม็คคาร์ธีย์ และนิโค ลาธูริส นอกจากนี้มิลเลอร์ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมกับผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ดั๊ก มิตเชล (“Babe”, “Happy Feet”) ซึ่งร่วมงานอำนวยการสร้างกับเขามายาวนาน และ พี เจ โวเทน โดยมี เอน สมิธ, คริส เดฟาเรีย, คอร์ตเทอเนย์ วาเลนติ, เกรแฮม เบิร์ก, บรูซ เบอร์แมน และสตีเวน นิวคิน ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ จอห์น ซีล (“The English Patient”) นักออกแบบงานสร้าง คอลิน กิ๊บสัน (“Babe”) ผู้ตัดต่อ มาร์กาเร็ต ซิกเซล (“Happy Feet”) นักออกแบบเครื่องแต่งกายรางวัลออสการ์ เจนนี เบแวน (“A Room with a View”) ผู้กำกับกองสองและผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ กาย นอร์ริส (“Australia”) และนักออกแบบเมคอัพ เลสลีย์ แวนเดอร์วอลต์ (“Knowing”)Warner Bros. Pictures ร่วมกับ Village Roadshow Pictures ขอนำเสนอผลงานการสร้างของ Kennedy Miller Mitchell จากการกำกับของ จอร์จ มิลเลอร์ เรื่อง “Mad Max: Fury Road” จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment และจัดจำหน่ายในบางพื้นที่โดย Village Roadshow Picturesmadmaxmovie.comhttps://www.facebook.com/MadMaxMovieThailand http://vehicleshowcase.madmaxmovie.com/intl/th/ ?เกี่ยวกับงานผลิต“อ้า...เยี่ยมไปเลย! วันนี้สุดยอดไปเลย!” – นักซ์ใน “Mad Max: Fury Road” ผู้กำกับ/นักเขียน/ผู้อำนวยการสร้าง จอร์จ มิลเลอร์ ได้ปลดปล่อยโลกอันบ้าคลั่งด้วยแรงสั่นสะเทือนของสงครามอ็อคเทนสูงบนท้องถนนซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่จะถ่ายทอดออกมาได้ มันสมองที่อยู่เบื้องหลังไตรภาค “Mad Max” อันทรงอิทธิพล ได้ผลักดันขอบเขตของภาพยนตร์ร่วมสมัยในการจินตนาการถึงความงามและความสับสนวุ่งวายของโลกยุคหลังวันสิ้นโลกซึ่งเขาได้สร้างขึ้นและนักรบบนท้องถนนในตำนานที่ร่อนเร่ไปในโลกใบนั้น มิลเลอร์มักนึกภาพหนังที่ถ่ายทอดการไล่ล่าจนลืมหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ “ผมมองว่าหนังแอ็คชันก็เหมือนดนตรีที่ออกมาเป็นภาพ และ ‘Fury Road’ ก็อยู่ระหว่างคอนเสิร์ตร็อคสุดมันกับโอเปรา” มิลเลอร์ให้ความเห็น “ผมอยากนำผู้ชมออกจากที่นั่งไปสู่การเดินทางที่เข้มข้นสุดเหวี่ยง และระหว่างทางคุณก็จะได้รู้จักตัวละครและเหตุการณ์ที่นำไปสู่เรื่องราวนี้ด้วย”ผู้อำนวยการสร้าง ดั๊ก มิตเชลล์ ซึ่งสร้างหนังร่วมกับมิลเลอร์มาตลอด 35 ปี กล่าวว่า ความพยายามนานนับทศวรรษที่จะนำ “Mad Max: Fury Road” มาสู่จอภาพยนตร์ก็เป็นการเดินทางที่ชวนระทึกอยู่ในตัวมันเอง “จอร์จมีหัวคิดสร้างสรรค์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ความสร้างสรรค์นั้นก็มาพร้อมกับการปฏิบัติจริงด้วย โครงการใหญ่ขนาดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองสิ่งนี้มาผสมผสานกัน ซึ่งจอร์จก็มีสองสิ่งนี้อยู่โดยสัญชาตญาณ เราผ่านพ้นจุดคับขันและเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อมาระหว่างทาง แต่สำหรับผมแล้วถือเป็นโชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขาในการเดินทางอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ครับ”สำหรับมิลเลอร์ หนทางย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เขาเพิ่งจบจากโรงเรียนการแพทย์ และด้วยความรักที่มีต่อหนังแอ็คชั่นไล่ล่ายุคแรกๆ เขาจึงตั้งใจที่จะค้นหาภาษาภาพที่แท้จริงของหนังประเภทนี้ด้วยตนเอง ด้วยอาศัยประสบการณ์จากการเป็นหมอในห้องฉุกเฉิน เขาจึงจินตนาการเรื่องราวของตัวละครผู้โดดเดี่ยวในโลกที่โล่งร้างหลังจากสังคมล่มสลายและถูกคุกคามด้วยแก็งค์ซิ่งโรคจิตตามท้องถนน มิลเลอร์ระบุว่า “ผมสนใจมาตลอดว่าสังคมต่างๆ มีวิวัฒนาการกันมาอย่างไร ซึ่งบางครั้งก็สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ และบางครั้งก็ชวนให้หดหู่ เมื่อคุณเปลื้องความซับซ้อนของโลกสมัยใหม่ออกไป คุณก็จะได้เข้าไปสู่โลกที่ไร้การปรุงแต่ง แล้วบอกเล่าเรื่องราวเปรียบเปรยขั้นพื้นฐานออกมา”ด้วยงบประมาณอันน้อยนิด มิลเลอร์ได้รวบรวมขบวนรถมอเตอร์ไซค์และรถมัสเซิลคาร์ คัดเลือกนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จักอย่าง เมล กิ๊บสัน ซึ่งเพิ่งจบจากโรงเรียนการละคร และออกตระเวนไปตามถนนหลวงอันเวิ้งว้างชานเมืองเมลเบิร์นของออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทอดพลังอันดิบเถื่อนของจากฉากสตันท์แห่งความพินาศโดยให้คนขับยานพาหนะจริงที่ความเร็วจริง“ที่ออสเตรเลียเรามีวัฒนธรรมเรื่องรถที่มองว่ารถก็เหมือนกับอาวุธ” มือเขียนบท นิโค ลาธูริส กล่าว เขาเป็นเพื่อนของมิลเลอร์ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนและเล่นเป็นกรีสแร็ตในหนังภาคแรก “จอร์จเคยรักษาเด็กหนุ่มๆ จากอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง และแทนที่จะถือเป็นเรื่องจริงจัง คนเหล่านี้กลับมีแนวโน้มที่จะคุยโม้เรื่องประสบการณ์ที่มีคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ในฐานะหมอ เขารู้สึกว่าเขากำลังแปะพลาสเตอร์ลงบนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นมาก และเรื่องนี้ก็เป็นวิธีการของเขาที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของปัญหานี้”ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ “Mad Max” ซึ่งระเบิดความมันบนจอภาพยนตร์ในปี 1979 และสร้างแรงสั่นสะเทือนทางวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นไปทั่ว เมื่อตำนาน “Mad Max” เติบโตขึ้น มิลเลอร์ก็ได้ยกระดับเอกลักษณ์อันไม่เหมือนใครในแง่แอ็คชั่นที่มีแรงขับเคลื่อนและการสร้างโลกอันน่าหลงใหลด้วยหนังอีกสองภาคที่ตามมา ซึ่งก็คือผลงานอันทรงอิทธิพลอย่าง “Mad Max 2: The Road Warrior” และผลงานสุดอลังการอย่าง “Mad Max: Beyond Thunderdome” “แนวคิดหนึ่งที่ขับเคลื่อน ‘Mad Max’ ภาคแรก รวมถึง ‘Fury Road’ ก็คือแนวคิดของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ว่าด้วยการทำหนังที่สามารถดูที่ไหนก็ได้ในโลกโดยไม่ต้องมีซับไทเทิล” มิลเลอร์อธิบาย “คุณพยายามบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกับผลงานดนตรีชั้นเยี่ยม นั่นคือไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ไหน มันจะช่วยนำคุณออกจากตัวเองไปยังอีกที่หนึ่ง และคุณจะได้ไปโผล่ที่อีกฟากพร้อมประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำในหนังเหล่านี้”ภูมิทัศน์อันแห้งแล้งผุกร่อน แอ็คชั่นดิบเถื่อน บทพูดน้อยคำ และตัวละครที่มีสีสันหลากหลายซึ่งมิลเลอร์สร้างขึ้นในไตรภาค “Mad Max” ได้ให้กำเนิดหนังแนวใหม่ขึ้นมา และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายรุ่นในสื่อทุกแขนง ทอม ฮาร์ดี ผู้รับบทเป็นแม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี ใน “Mad Max: Fury Road” กล่าวว่า “จอร์จสร้างบรรยากาศยุคหลังวันสิ้นโลกอย่างที่ปัจจุบันเราเห็นอยู่ตามวิดีโอเกมและหนังมากมาย นั่นเป็นผืนผ้าใบของเขา และเขาก็ยังคงวาดรูปอยู่บนนั้นด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่เขามีพร้อมใช้งาน การได้เล่นหนังเรื่องนี้ก็คือการนั่งอยู่กับจอร์จที่กล่องของเล่นของเขา และจินตนาการของเขาก็บรรเจิดมากจนกระทั่งคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่ในหนัง แต่อยู่ในหัวของจอร์จเลย” ชาร์ลิซ เธอรอน ซึ่งได้สร้างตัวละครใหม่ของแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาในบท อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา ยืนยันว่าในหนังเรื่องนี้ มิลเลอร์ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ใหม่ซึ่งตั้งตระหง่านแม้อยู่ท่ามกลางผลงานมากมายซึ่งเป็นมรดกของภาพยนตร์เรื่องนี้ “จอร์จได้จินตนาการโลกที่เขารักขึ้นมาใหม่อีกครั้งในหนังเรื่องนี้ ทุกคนสามารถเข้าไปในโลกใบนี้และสัมผัสสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ มีส่วนดีๆ ให้คนที่รักหนังเรื่องนี้ได้ค้นหา ขณะเดียวกันฉันคิดว่าเขาก็ได้สร้างสิ่งที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เติบโตมากับ ‘Mad Max’ ด้วย นั่นล่ะค่ะคือความงดงามของ ‘Fury Road’” นิโคลาส โฮลต์ ผู้รับบทเป็นนักซ์ หนึ่งในกลุ่มวอร์บอย และนับตัวเองว่าอยู่ในคนรุ่นนั้นด้วย กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งในตัวจอร์จคือเขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ยังมีความใกล้ชิดคุ้นเคยอยู่ด้วย” เขากล่าว “มีความคิดมากมายที่ใส่ลงไปในชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ละชิ้นของตำนานทั้งหมดนี้ จนถึงขั้นที่ว่ารายละเอียดที่เล็กที่สุดก็ยังบ่งบอกทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวละครและสภาพแวดล้อมรอบตัวละคร” มันเป็นจักรวาลที่ดำรงอยู่ในจินตนาการของมิลเลอร์ และมิตเชลได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีข้อจำกัดในแง่ขอบเขตความลึกและความกว้างของโลกใบนี้ ที่จริงแล้ว ‘Fury Road’ เป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีอีกมากรออยู่ข้างใต้ จอร์จใช้เวลาหลายปีจินตนาการถึงโลกใบนี้แล้วมันก็ค่อยๆ เผยตัวออกมาให้เขาได้เห็น” ภารกิจในการนำผู้ชมยุคปัจจุบันเข้าสู่โลกอนาคตอันบ้าคลั่งใน “Mad Max: Fury Road” ต้องอาศัยการเดินทางข้ามทวีปและใช้เวลานานกว่าทศวรรษ ภารกิจนี้ได้ผลักดันให้ศิลปินผู้มีความสามารถนับร้อยๆ รายออกแบบและสร้างสรรค์โลกในยุคหลังวันสิ้นโลกอันสมจริงขึ้นผ่านการวาดสตอรีบอร์ด 3,500 แผ่นไปจนถึงของประกอบฉากและเครื่องแต่งกายนับพันๆ ชิ้น ในการจัดการเชิงลอจิสติกส์ขนาดใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทีมผลิตภาพยนตร์จะต้องนำนักแสดง ทีมงาน และยานพาหนะที่สร้างด้วยมือและใช้ขับได้จริง 150 คัน ตระเวนไปทั่วทะเลทรายในนามิเบียเพื่อถ่ายทอดสงครามบนท้องถนนของจริงผ่านกองถ่ายหลายกองตลอดเวลา 120 วัน“สิ่งที่น่าตื่นตะลึงในตัวจอร์จคือเขามีแรงผลักดันและจดจ่ออยู่กับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มร้อย” ผู้อำนวยการสร้างและผู้ช่วยผู้กำกับคนที่หนึ่ง พี เจ โวเท็น กล่าว เขาเป็นทีมงานเก่าของ “Mad Max” มาตั้งแต่ “Mad Max: Beyond Thunderdome” “เขาเป็นคนที่อึดมากและใส่ใจในรายละเอียด แถมยังตั้งมาตรฐานไว้สูงมากจนกระทั่งทุกคนรอบตัวเขาก็ต้องเขยิบตัวตามไปด้วย”“เราแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลยตลอดหกเดือนที่ทำหนังเรื่องนี้” เธอรอนยืนยัน “แต่การทำสิ่งที่ท้าทายขนาดนี้และยิ่งใหญ่ขนาดนี้คือสิ่งที่จอร์จถนัดเลยล่ะค่ะ เขาเล็งเห็นความเป็นไปได้อย่างที่คนอื่นไม่มีทางเห็น”ความเป็นไปได้ของสิ่งที่เป็นจริงช่วยขับเคลื่อนตำนาน “Mad Max” และมิลเลอร์รวมทั้งทีมผู้ร่วมงานก็ได้ผลักดันการสร้างหนังไปจนสุดขีดจำกัดเพื่อยกมาตรฐานขึ้นไปอีก “โลกของ ‘Mad Max’ ยกระดับขึ้น แต่มันไม่ใช่โลกแฟนตาซี” มิลเลอร์อธิบาย “‘Fury Road’ เป็นโอกาสที่จะได้สร้างโลกนี้ให้กว้างใหญ่และมีพลังเต็มที่มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เราสามารถนำกล้องไปไว้ในที่ที่แต่ก่อนนี้ไม่สามารถทำได้ และให้กล้องตามติดไปกับกองรบได้ด้วยระบบ Edge Arm ถ้ามีการต่อสู้บนยานพาหนะ เราก็สามารถให้นักแสดงห้อยลวดสลิงได้จากนั้นค่อยไปลบออกในขั้นตอนซีจี เวลาคุณเห็นแม็กซ์แขวนตัวกลับหัวอยู่ระหว่างรถสองคัน นั่นเป็นทอม ฮาร์ดีเล่นจริงๆ เวลาที่ฟูริโอซาเกาะทอมไว้ ก็เป็นชาร์ลิซ เธอรอน ที่เกาะทอมอยู่ และเมื่อคุณเห็นนักซ์ปีนออกมายังด้านหน้ารถ ก็เป็นนิโคลาส โฮลต์จริงๆ”สำหรับโฮลต์แล้ว มันเป็นงานที่สนุกตื่นเต้น “ไม่มีอะไรเหมือนการได้สัมผัสเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ V8 ตัวใหญ่อยู่ข้างใต้คุณ และได้ยินเสียงรถบรรทุกแล่นฉิวผ่านไป พร้อมการระเบิดและผู้คนที่โหนตัวอยู่ตามเสา” “ถ้าคุณคิดว่าฉากแอ็คชั่นมันสุดขอบเกินไป หรือการระเบิดมันอลังการเกินจริง ผมสัญญากับคุณได้เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ... ผมได้เห็นเอง” ฮาร์ดียืนยัน “มันเป็นงานแอ็คชั่นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ มันบ้าคลั่งและยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ และเป็นสิ่งที่จอร์จสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหมดเลยครับ”สำหรับชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งเหล่านี้ มีบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยน “การนำรถมาชนกันในทะเลทรายให้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างน่าประหลาดครับ คุณจะลืมตัวเองไปและทำงานตามสัญชาตญาณและความรู้สึกภายในซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่บ้าคลั่งนะ” มิลเลอร์ยิ้ม “แต่เรานำคำเก่ามาพูดใหม่ได้ว่า ‘คุณไม่ต้องเป็นคนบ้าหรอกถึงจะทำ ‘Mad Max’ ได้ แต่มันก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน’” อนาคตในมือคนคลั่ง“เมื่อโลกพังทลาย เราต่างก็บอบช้ำในแบบของตัวเองคงยากที่จะรู้ว่าใครบ้ากว่ากัน…ผมหรือคนอื่นๆ” – แม็กซ์เป็นเวลา 45 ปีแล้วนับตั้งแต่โลกล่มสลายลง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ และไม่มีความปราณี ใน “Mad Max: Fury Road” อารยธรรมคือความทรงจำของคนแค่ไม่กี่คน ประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลกเหลือเพียงฝุ่นผง เมืองตามชายฝั่งถูกลบทิ้ง และท่ามกลางสงครามแย่งชิงน้ำและน้ำมัน อาหารขาดแคลน และอากาศเป็นพิษ มนุษย์ที่เหลืออยู่ท่องไปทั่วเวสต์แลนด์ในรูปแบบชนเผ่า หรือไม่ก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ที่เชิงป้อมซิตาเดล ป้อมปราการที่มีผังเป็นระบบถ้ำและรปั๊มน้ำจากแหล่งผลิตน้ำเพียงแห่งเดียวในรัศมีหลายไมล์ ด้วยการควบคุมปัจจัยหลัก ซิตาเดลและพันธมิตร อันได้แก่ แก็สทาวน์และบุลเล็ตฟาร์ม จึงเป็นผู้ควบคุมเวสต์แลนด์ “เมื่อคุณเข้าไปยังโลกอนาคตที่ล่มสลายและเสื่อมถอยลง ก็เหมือนกลับไปยังประวัติศาสตร์ช่วงยุคกลาง” มิลเลอร์ให้ความเห็น “ผู้คนแค่ต้องการเอาชีวิตรอด ไม่มีเรื่องของเกียรติยศและมีเวลาน้อยมากที่จะมาเห็นอกเห็นใจใคร ทั้งหมดนี้นำไปสู่สมดุลที่ชัดเจนในการแบ่งลำดับชนชั้น โดยคนมีอำนาจเพียงไม่กี่คนจะอยู่เหนือคนส่วนใหญ่และอยู่เหนือศีลธรรม แล้วแม็กซ์ก็เข้ามายังโลกใบนี้เพียงเพื่อต้องการจะหลีกหนีจากปีศาจในตัวเขาเอง”แม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี เปิดตัวเป็นครั้งแรกในหนังภาคแรกที่มิลเลอร์สร้างขึ้นในปี 1979 และเสียงตอบรับจากทั่วโลกต่อตัวละครนี้ก็ทำให้ผู้สร้างตัวละครต้องประหลาดใจ “ผมได้ตระหนักขึ้นมาว่าผมนำตัวละครตามแบบฉบับในตำนานมาใช้โดยไม่รู้ตัว” เขากล่าว “ในญี่ปุ่น คนเรียกแม็กซ์ว่าซามูไรโรนินผู้โดดเดี่ยว ในฝรั่งเศส คนมองว่าหนังเรื่องนี้เป็น ‘คาวบอยบนรถยนต์’ และแม็กซ์ก็เหมือนนักดวลปืนผู้โดดเดี่ยว ในสแกนดิเนเวีย บางคนกล่าวว่าแม็กซ์ทำให้พวกเขานึกถึงนักรบไวกิ้งผู้รักสันโดษและออกตระเวนไปตามพื้นที่อันโหดร้าย”ด้วยการคัดเลือกทอม ฮาร์ดีมารับบทนี้ มิลเลอร์รู้ดีว่าเขาได้พบนักแสดงที่สามารถนำความเป็นจริงที่สัมผัสได้มาสู่ตัวละครตามตำนานนี้ โดยระบุว่า “นักแสดงหลายคนอาจระวังตัวแจ แต่ก็มีบางคนที่เป็นนักรบในแง่อารมณ์ความรู้สึก และทอมก็เป็นอย่างนั้น เขาเป็นคนกล้าหาญ ผมรอให้มีคนอย่างทอมโผล่เข้ามาและรู้ว่าเขาจะพบจิตวิญญาณของแม็กซ์ภายในตัวเขาเอง”มิลเลอร์สัมผัสได้ถึงพลังอันลื่นไหลซึ่งทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่ได้พบเมล กิ๊บสัน ตอนที่มิลเลอร์เลือกให้กิ๊บสันมารับบทแมด แม็กซ์เมื่อสามทศวรรษก่อน “บุคลิกอันทรงพลังจากความขัดแย้งกันในตัวเองทำให้เขาดูน่ามอง” ผู้กำกับรายนี้อธิบาย “ทอมเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายแต่ก็ลึกลับ แข็งแกร่งแต่ก็เปราะบาง มีความอบอุ่นเต็มเปี่ยมแต่ก็แฝงอันตรายเอาไว้ด้วยเช่นกัน”ฮาร์ดีอายุแค่หกสัปดาห์ตอนที่หนังภาคแรกเข้าฉาย แต่เขาก็เติบโตมาโดยรับรู้ถึงตำนานของนักสู้บนท้องถนน เมื่อเขาได้ทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ เขาก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้ถูกขอให้กลับไปนำเสนอตัวละครนี้แต่เป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ “แม็กซ์ที่เมลเล่นไว้กลายเป็นตัวละครต้นแบบไปแล้ว” ฮาร์ดีกล่าว “แต่เมื่อจอร์จขอให้ผมรับบทเป็นตัวละครนี้ ผมก็ได้ร่วมงานกับเขาในการแปรสภาพแม็กซ์ให้เหมาะกับเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมและผมถือเป็นเกียรติที่ได้รับบทนี้ครับ”กระนั้น ฮาร์ดีก็ยังติดต่อไปยังกิ๊บสันเพื่อขอให้เขาอวยพรให้ “เรานัดกินมื้อกลางวันกัน ซึ่งก็ดีมากครับ เขาได้ส่งคบเพลิงต่อให้ผมแล้ว”การรับบทของฮาร์ดีทำให้ แม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี ได้ปรากฏตัวในฐานะผู้ช่ำชองในสงครามทะเลทรายซึ่งมีทักษะที่ช่วยให้เขาอยู่รอดได้โดยลำพัง หลังจากได้เรียนรู้ว่าการผูกมัดรังแต่จะนำมาซึ่งความโศกเศร้าในโลกอันโหดร้ายนี้ “แม็กซ์เป็นแค่คนที่อยากกลับบ้านแต่ไม่มีบ้านให้เขากลับ” ฮาร์ดีกล่าว “ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบ ความเจ็บปวด และการทำลายล้าง เขาอยู่ในที่ซึ่งไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่แต่เขาก็ยังคงโหยหามัน ความสัมพันธ์มีราคาที่ต้องจ่ายในโลกใบนี้”ในหนังเรื่องนี้ เราได้พบแม็กซ์กำลังคิดคำนึงถึงคนที่ตายไปท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าของที่ราบแห่งความเงียบ โดยรถอินเตอร์เซพเตอร์ซึ่งพังยับเยินและเป็นเศษซากสุดท้ายที่เหลืออยู่จากชีวิตในอดีตได้นำพาเขามา “เขาได้พบเห็นความบอบช้ำและความน่าสยดสยองมามากมาย และทุกสิ่งที่เขารักก็จากไปหมด” ฮาร์ดีกล่าว “แต่ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาไม่ควรค่าแก่การอยู่ต่อไปในหลายๆ แง่ แต่เขาก็ยังปฏิเสธความตาย เขายังไม่พร้อมที่จะตายจนกว่าเขาจะได้มอบความยุติธรรมให้ทุกสิ่งที่ถูกพรากไปจากเขา””ช่วงเวลานั้นยุติลงด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ ขณะที่แม็กซ์ถูกล้อมด้วยแก็งค์อันธพาลวอร์บอย ซึ่งดักซุ่มโจมตีเขาและลากเขากลับไปยังซิตาเดลอันเป็นฐานที่มั่นอันแข็งแกร่งที่สุดในเวสต์แลนด์ ที่นั่นรถอินเตอร์เซพเตอร์ได้รับการซ่อมแซมใหม่และแม็กซ์ก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนปศุสัตว์ ทีซิตาเดลเราได้พบฟูริโอซาซึ่งความโกรธเกรี้ยวของเธอจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดสงครามบนท้องถนนในอีกไม่ช้า การเดินทางของฟูริโอซาในฐานะนักรบหญิงในโลกที่ผู้หญิงตกเป็นทาสเป็นสิ่งแรกที่ผลักดันให้มิลเลอร์สร้าง “Mad Max: Fury Road” ให้เป็นจริงขึ้นมา ผู้กำกับรายนี้กล่าวว่าเธอรอนทำให้การต่อสู้ดิ้นรนของเธอสมจริงสมจัง “ชาร์ลิซเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ไม่ใช่แค่ในแง่ร่างกายแต่ยังรวมถึงจิตใจด้วย” เขากล่าว “ในขณะเดียวกัน คุณก็มองเห็นความอ่อนแอของเธอ มันไม่ใช่หน้ากากภายนอก ชาร์ลิซเป็นผู้หญิงแน่นอนอยู่แล้ว แต่นี่เป็นตัวละครที่ไม่สนใจจะทำตัวเป็นผู้หญิง ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด แต่ไม่มีเวลาเหลือให้มานั่งหมกมุ่นกับมัน เธอต้องออกไปจัดการลุยให้เต็มที่ และชาร์ลิซก็มีความทุ่มเทและทักษะในฐานะนักแสดงที่จะก้าวออกไปโดยไร้ความกลัว”ในบทฟูริโอซา เธอรอนมองว่ามิลเลอร์ได้ปั้นตัวละครหญิงที่เข้มแข็งซึ่งแตกต่างจากตัวละครอื่นๆ ที่เธอเคยเห็นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากแอ็คชั่น “ตอนที่จอร์จบอกฉันว่าเขาอยากสร้างนักรบหญิงบนท้องถนนที่สามารถยืนหยัดข้างตัวละครระดับตำนานได้อย่างเท่าเทียมกัน ฉันเชื่อเขาและเขาก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังค่ะ ตัวเรื่องเปิดโอกาสให้นำเสนอตัวละครสองตัวซึ่งไม่ได้ตกหลุมรักหรือแม้กระทั่งเป็นเพื่อนกัน เพราะไม่มีที่ว่างให้ความสัมพันธ์ในสถานที่แบบนี้”การมาพบกันของตัวละครทั้งสองยิ่งมีพลังมากขึ้นอีกเมื่อรวมฮาร์ดีเข้าไปด้วย “ฉันดีใจมากที่ได้สร้างแรงขับเคลื่อนนี้ขึ้นมาร่วมกับนักแสดงอย่างทอม ฮาร์ดี ซึ่งรับบทได้อย่างน่าประทับใจ” เธอให้ความเห็น “มันทำให้คุณอยากสร้างมาตรฐานให้สูงขึ้นร่วมกับเขา”ในส่วนของฮาร์ดี อารมณ์ที่เธอรอนใส่ลงมาในตัวละครผ่านบทพูดเพียงไม่กี่คำและการตอบสนองอย่างฉับพลันทำให้เขาต้องทึ่ง “ชาร์ลิซเป็นมวยรุ่นใหญ่” เขากล่าว “มีนักแสดงน้อยคนบนโลกนี้ที่สามารถถ่ายทอดความเข้มแข็งและความโดดเด่นขนาดนี้ออกมาพร้อมความเปราะบางอันมหาศาลเช่นกัน”ในฐานะอิมเพอเรเตอร์ขั้นสูงของซิตาเดล ฟูริโอซาขับรถวอร์ริก เครื่องจักรสงครามเคลื่อนที่และยานพาหนะที่มีมูลค่าสูงสุดในสังกัดของวอร์ลอร์ดแห่งเวสต์แลนด์ อิมมอร์แทน โจเพื่อสร้างตัวร้ายที่ซับซ้อนและน่าเกรงขาม มิลเลอร์พิจารณาถึงระดับทักษะ สติปัญญา และความกระหายอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งผลักดันให้ตัวละครนี้ไม่เพียงเอาตัวรอดในอารยธรรมซึ่งกำลังล่มสลาย แต่ยังแสวงหาความรุ่งโรจน์ด้วย อิมมอร์แทน โจ พบคำตอบในน้ำ อควา โคลา มันเป็นหนึ่งในหน่วยเงินตราที่แท้จริงเพียงไม่กี่หน่วยในเวสต์แลนด์ และเขาก็ใช้มันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งอื่นๆ ทั้งเชื้อเพลิงจากแก็สทาวน์และอาวุธจากบุลเล็ตฟาร์ม รวมทั้งกำราบมวลชนที่ป่วยไข้และหิวโหยซึ่งได้อพยพมายังซิตาเดล ด้านบนสุดของป้อมปราการคือห้องที่ได้รับการอารักขาอย่างเข้มงวดที่สุด ซึ่งอิมมอร์แทนใช้ดำเนินปฏิบัติการและเก็บสมบัติอันล้ำค่าของเขาไว้ในห้องที่ปิดล็อคไว้ สมบัตินั้นก็คือภรรยาทั้งห้าคน เขารู้ดีว่าไม่อาจหวังให้ลูกชายทั้งสองสืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดซึ่งเขาช่วงชิงมาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็น ริกตัส อีเร็กตัส ที่รับบทโดยนาธาน โจนส์ เด็กในร่างชายตัวมหึมา หรือคอร์ปัส โคลอสซัส ที่รับบทโดย เควนติน เคนิแฮน ผู้มีความคิดสติปัญญาเป็นผู้ใหญ่แต่ถูกขังอยู่ในร่างเด็ก “ทั้งสองคนไม่สามารถสืบทอดอำนาจได้เมื่ออิมมอร์แทนจากไป ดังนั้นเขาจึงขังหญิงสาวที่มีสุขภาพแข็งแรงเอาไว้ในห้องควบคุมสภาพอากาศ และทำให้พวกเธอตั้งครรภ์เพื่อผลิตทายาทชายที่สมบูรณ์แข็งแรง” มิลเลอร์เล่า ผู้กำกับไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลในการหาคนมารับบทวอร์ลอร์ด ใน “Mad Max” ภาคแรก เขาเลือก ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น มารับบทเป็นตัวร้ายโรคจิต โทคัตเตอร์ ในตอนนั้นนักแสดงอิสระรายนี้อาสาที่จะช่วยรวบรวมทีมนักแสดง และถ้ามิลเลอร์ส่งมอเตอร์ไซค์ไปให้ เขาจะนำทีมเดินทางนานสามวันจากซิดนีย์มายังกองถ่ายของ “Mad Max” ในเมลเบิร์น และด้วยความประหลาดใจของมิลเลอร์ เมื่อคนเหล่านั้นมาถึง คียส์-เบิร์น ก็ได้เปลี่ยนกลุ่มนักแสดงที่เพิ่งมารวมตัวกันให้กลายเป็นแก็งค์มอเตอร์ไซค์ของจริง “นั่นเป็นบุคลิกอันทรงพลังที่ผมต้องการมากใน ‘Fury Road’” มิลเลอร์กล่าว “ฮิวจ์ใส่หน้ากากในหนังเรื่องนี้จึงไม่น่าจะมีใครเข้าใจผิดว่าเขาเป็นโทคัตเตอร์ และเขาก็ยังมีดวงตาที่น่าทึ่งและเสียงอันทรงพลัง เขาเหมือนหมีเท็ดดีแบร์ตัวใหญ่น่ารักและนำเอาความขี้เล่นมาใส่ลงในตัวละคร เขาเพิ่มมิติลงไปในหนังด้วยพลังจากบุคลิกของเขาล้วนๆ และส่งต่อพลังไปให้พวกวอร์บอยด้วย”วอร์ลอร์ดได้ปลูกฝังให้พวกวอร์บอยเชื่อในตำนานที่แต่งขึ้นเองว่าเขาเป็นบุคคลอมตะที่กลับมายังโลกใบนี้เพื่อส่งพวกวอร์บอยไปยังวาลฮัลลา สวรรค์ของเหล่านักรบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกวอร์บอยทุ่มเทกับการต่อสู้บนท้องถนนด้วยศรัทธาทางศาสนาอันแรงกล้า อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนศาสนาของพวกเขาก็คือเหล็กกล้าและเครื่องยนต์ V-8 และในฐานะแบล็คฟิงเกอร์ พวกเขาดูแลกองรบของอิมมอร์แทนในตำแหน่งระดับกลางของซิตาเดล โดยคอยเติมพลังจากธนาคารเลือดเพื่อยืดอายุขัยของตนออกไป“อิมมอร์แทนจะถลกหนังคุณทั้งเป็นถ้าคุณไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเทพเจ้า” คียส์-เบิร์นให้ความเห็น “เมื่อมองสถานการณ์จากมุมมองของเขา ผู้คนล้มตายกันเป็นเบือจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเขาจึงตั้งโครงการสืบสายพันธุ์ ธนาคารเลือด ธนาคารนม ไฮโดรโพนิกส์ อะไรก็ตามที่จะช่วยให้สายพันธุ์นี้ดำรงอยู่ต่อไป เขาให้พวกวอร์บอยได้รับเลือดสะอาดเพราะพวกนี้จะสู้ให้เขาไม่ได้ถ้าต้องตายด้วยโรคร้าย เขารักเด็กพวกนี้ และนั่นคือสิ่งที่ผู้นำเผด็จการทำกัน”“มันเป็นประเด็นความขัดแย้งทางศีลธรรม” เบรนแดน แม็คคาร์ธีย์ ผู้เขียนบทกล่าว “อิมมอร์แทนพยายามช่วยกอบกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์จากความล้มเหลวทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำอย่างนั้นโดยการรักษาสายเลือดของเขาเองซึ่งกำลังจะไปไม่รอด เขาใช้วิธีการที่โหดเหี้ยม ใช้การฆ่าฟันกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และเขาก็ได้ก่อตั้งศาสนาขึ้นมาเพื่อให้พวกวอร์บอยอุทิศชีวิตจิตใจให้” นิโคลาส โฮลต์ รับบทเป็น นักซ์ ผู้ซึ่งได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวอร์บอยในช่วงชีวิตอันแสนสั้นและล้มเหลว นั่นก็คือการได้รับตำแหน่งที่ถูกยกยอปอปั้นอย่างการเป็นคนขับรถ โดยเขามีรถแต่งของเขาเองและมีรอยกรีดรูปเครื่องยนต์ V-8 ไว้บนหน้าอก “ทุกคนในเรื่องนี้มีคุณสมบัติประจำตัว และสำหรับนักซ์ เราจะได้เห็นความเตลิดเปิดเปิงของคนหนุ่ม” มิลเลอร์กล่าว “ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างทุกข์ทรมานและรู้ดีว่าตัวเองมีเวลาไม่มากนัก แต่เขาก็ยังมีความสุขสนุกสนานได้ และนิคก็มีพลังแบบนั้นอยู่ในตัว เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก มีวินัยสูง เข้มแข็ง และเป็นคนสนุกมากด้วย นิคถ่ายทอดความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาวที่บอกคุณได้เลยว่าตัวละครนี้เป็นใคร”นานก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น มิลเลอร์ได้ตั้งเว็บไซต์ภายในซึ่งเต็มไปด้วยวิดีโอการลองเครื่องแต่งกาย การทดสอบสตันท์ และข้อมูลอ้างอิงอื่นๆ เอาไว้ให้นักแสดงศึกษาเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละคร ทั้งหมดนี้นับเป็นแหล่งขุมทรัพย์สำหรับโฮลต์ “มันช่วยให้ข้อมูลเบื้องลึกว่านักซ์พยายามมองโลกในแง่ดีได้อย่างไร” นักแสดงรายนี้กล่าว “เขาไม่ค่อยรู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกมากนัก รู้แต่ว่าเขามีเวลาแค่ครึ่งชีวิตเดียว เขามีเนื้องอกที่ลำคอชื่อแลร์รีและแบร์รี ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนของเขาแต่ก็กำลังฆ่าเขาด้วย ความไร้เดียงสาและกระตือรือร้นได้ส่งนักซ์ไปยังเส้นทางที่เขาเลือกในหนังเรื่องนี้”วอร์บอยทุกคนมีหัวโล้น รอยสัก รอยกรีด และทาตัวทั้งตัวด้วยสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของอิมมอร์แทน ดังนั้นโฮลต์จึงโกนหัวและนั่งอยู่ในรถแต่งหน้าวันละสองชั่วโมงก่อนเริ่มเดินกล้อง “เมื่อหน้าตาของคุณเปลี่ยนไปมาก คุณก็จะได้เข้าถึงบุคลิกส่วนอื่นๆ ของตัวคุณเอง” เขากล่าว แม้ว่าเขาจะชอบกระบวนการนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเขาอิจฉาวิธีการของเธอรอน “ชาร์ลิซเดินเข้ามา เอาจาระบีทาหน้าผากเสร็จก็ออกไปได้แล้ว ผมคิดเลยว่า ‘เอ่อ เดี๋ยวก่อนนะ...’”เธอรอนยืนยัน “สำหรับฉันแล้ว มันก็แค่ ‘จาระบีอยู่ไหนน่ะ เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว’” เนื่องจากเธอใช้เวลานานอยู่ในรถวอร์ริกของฟูริโอซา เธอจึงเก็บกระเป๋าเครื่องสำอางและกระจกเล็กไว้ในห้องคนขับเพื่อแต่งเพิ่มระหว่างการถ่ายทำเมื่อฟูริโอซานำรถและขบวนรถของเธอออกนอกเส้นทางตามกำหนดการสู่เมืองแก็สทาวน์ เรื่องก็ปรากฏชัดว่าเธอมีจุดประสงค์อื่น และความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในอาณาจักรของอิมมอร์แทน สิ่งที่สร้างความแค้นเคืองให้เขาไม่ใช่การสูญเสียอิมเพอเรเตอร์หรือแม้กระทั่งรถวอร์ริก... แต่เป็นผู้โดยสารที่อยู่ในนั้น ห้องนิรภัยที่เขาเก็บแม่พันธุ์อันล้ำค่าไว้กลับว่างเปล่าเหลือแต่เพียงมิสกิดดี (เจนนิเฟอร์ ฮาแกน) ผู้เป็นเหมือนมารดาและครูของเหล่าภรรยา และบนผนังนั้นก็มีข้อความสั้นๆ เขียนไว้หวัดๆ ว่า “เราไม่ใช่สิ่งของ”เธอรอนไม่ได้มองว่าการกระทำของฟูริโอซานั้นเป็นการกระทำที่กล้าหาญหรือแม้กระทั่งเกิดขึ้นจากความเห็นอกเห็นใจ “เธอเป็นแอนตีฮีโร่ตามแบบฉบับ” เธอรอนยืนยัน “เธอถูกผลักดันด้วยข้อบกพร่องธรรมดาๆ ของมนุษย์ สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่กระตุ้นให้เธอออกไปก็คือเธอทนไม่ไหวกับความรู้สึกไร้ค่าที่ต้องเป็นผู้หญิงในโลกที่ผู้หญิงสำคัญอยู่แค่อย่างเดียว นั่นคือการสืบทอดสายพันธุ์ เธอนำเอาสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอิมมอร์แทนไป เพราะเขาก็ได้นำเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดไปจากเธอ เมื่อเขาขโมยเธอมาจากแม่แล้วก็ทอดทิ้งเธอ ฉันมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องของการไม่ยอมปล่อยให้คนชั่วลอยนวล และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันชอบในตัวเธอ”ลาธูริสระบุว่าความคล้ายคลึงกันระหว่างฟูริโอซาและแม็กซ์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ “เธอเป็นคนจำพวกเดียวกันกับแม็กซ์ เรื่องราวของเธอก็ไม่ต่างไปจากเขา เธอได้พบความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตมาเหมือนกัน และก็เปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นความแค้นเช่นเดียวกัน”แล้วอิมมอร์แทนก็แก้แค้นกลับด้วยทุกอย่างที่เขามีเมื่อกลองศึกดังขึ้น นักซ์อยู่ในธนาคารเลือดที่ซึ่งออร์แกนิก เมแคนิก (แองกัส แซมพ์สัน) กำลังซ่อมแซมร่างกายเขาด้วยการฉีด “เลือดบ้าคลั่งอ็อคเทนสูง” จากผู้บริจาครายใหม่ของซิตาเดล แม็กซ์ ซึ่งถึงตอนนั้นได้ถูกหั่นผม ใส่หน้ากาก ตีตรา และถูกล่ามห้อยหัวลงมา เลือดของเขาไหลเข้าสู่ตัวนักซ์ผ่านหลอดเข้าเส้นเลือดดำ “เหตุผลเดียวที่พวกนั้นยังไว้ชีวิตแม็กซ์ก็คือเลือดของเขาเป็นเลือดดีไม่ใช่เลือดที่ทำให้เกิดเนื้อร้าย เลือดเป็นส่วนสำคัญในหนังเรื่องนี้ และมันแทบจะเป็นการเสียดสีเรื่องของการเติมน้ำมัน คุณเติม ‘กัซโซลีน’ ให้รถในหนัง ‘Mad Max’ ที่ผ่านมา แล้วคุณก็มาเติมเลือดให้พวกวอร์บอย”นักซ์รู้ดีว่าเขามีเวลาไม่มากและการกบฏของฟูริโอซาก็เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ตายอย่างวีรบุรุษ โดยมีแม็กซ์เป็นตัวช่วยต่อชีวิตให้เขา ฮาร์ดีกล่าวว่า “นักซ์อยากออกไปไขว่คว้าความรุ่งโรจน์ และเพื่อให้เขาทำเช่นนั้นได้ เขาจึงต้องพา ‘ถุงเลือด’ ของเขาไปด้วย”โฮลต์เสริมว่า “นักซ์ต้องการแม็กซ์แต่เขาก็สนุกไปกับแม็กซ์ด้วย แม็กซ์หวาดกลัวและทุกข์ทรมาน แต่สำหรับนักซ์แล้วมันน่าขำมาก เพราะเขากำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสุดเหวี่ยง” แม็กซ์เข้าสู่สงครามบนท้องถนนโดยถูกมัดติดกับฝากระโปรงรถที่กำลังแล่นฉิว เลือดไหลออกจากตัวทุกจังหวะการเต้นของหัวใจขณะที่รถเหล็กจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าชนกันห่างหน้าเขาไปไม่กี่นิ้ว กองทัพซิตาเดล รวมถึงแก็งค์ที่นำโดยนายใหญ่ของแก็สทาวน์ (ริชาร์ด คาร์เตอร์) และบุลเล็ต ฟาร์เมอร์ (จอห์น โฮเวิร์ด) ตะลุยทะเลทรายมาพบกันที่วอร์ริกและโจมตีจากทุกด้าน ขณะที่ดูฟ วอรริเออร์ (iOTA) ก็ปลุกใจหน่วยสังหารด้วยเสียงอึกทึกของดนตรีร็อคแอนด์โรลที่ดังกึกก้องไปทั่วที่ราบแห่งนั้น กองรบไม่ใช่เพียงอันตรายเดียวที่ประจันหน้ากับวอร์ริกในเวสต์แลนด์ ทุกๆ รอยแตก หลุมบ่อ ผาชัน และหนองน้ำล้วนเต็มไปด้วยภัยคุกคาม ไม่ว่าจะมาจากความน่าสยดสยองของซากศพจากชนเผ่าบัซซาร์ดซึ่งอยู่ใต้ดิน หรือพวกร็อคไรเดอร์ที่แอบซุ่มอยู่ตามเชิงผาอันตรายที่พวกกบฏจะต้องเดินทางผ่าน แม้กระทั่งท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังจู่โจมในรูปแบบของทอร์นาโดที่พัดเอาฝุ่นและเปลวไฟมาด้วยหรือที่เรียกว่าพายุพิษ เมื่อทุกสิ่งจบลง แม็กซ์พบว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่แต่ยังคงถูกผูกติดอยู่กับวอร์บอยและถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ผืนทรายเดียวกันกับฟูริโอซาและกลุ่มภรรยา พวกเธอดูสวยงามบริสุทธิ์แตกต่างจากความโสมมและเสื่อมทรามรอบตัวเขา แต่สายตาของเขาจับจ้องอยู่แต่ที่รถวอร์ริก อันเป็นโอกาสเดียวของเขาที่จะหนีรอด แต่ก่อนอื่นเขาต้องผ่านฟูริโอซาไปให้ได้เสียก่อน หลังการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ซึ่งนักรบทั้งสองต้องอาศัยอาวุธและทรัพยากรทั้งหมดที่ตนคว้ามาได้ รวมถึงนักซ์และบรรดาภรรยาทั้งห้าด้วย ทั้งสองสู้กันอย่างไม่อาจหาผู้แพ้ผู้ชนะ “แม็กซ์และฟูริโอซาเริ่มต้นจากการเป็นคู่อริที่ต่างต้องการฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง” แม็คคาร์ธีย์กล่าว “พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ซึ่งมีสัญชาตญาณดิบและต่างเก่งกาจไม่แพ้กัน พวกเขาคือคู่แข่งที่สูสีกันในทุกๆ แง่”ด้วยตระหนักว่าโอกาสอยู่รอดน่าจะเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ร่วมกันมากกว่าที่จะอยู่ลำพัง แม็กซ์และฟูริโอซาจึงยอมสงบศึกแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก แม้กระทั่งนักซ์ก็ยังต้องร่วมขบวนไปกับเป้าหมายในการไล่ล่าของเขา “นักซ์ตั้งใจที่จะสังหารฟูริโอซาและพาสาวๆ กลับไป แต่เขาทำไม่สำเร็จ” โฮลต์กล่าว “เมื่อเขาเริ่มที่จะล้มเลิกความตั้งใจนี้ พวกเขาก็กลายเป็นเหมือนคณะเดินทางย่อมๆ ที่ทำงานร่วมกันและช่วยให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง” เพื่อค้นหาภรรยาทั้งห้าของอิมมอร์แทน มิลเลอร์ทำงานร่วมกับผู้คัดเลือกนักแสดงชาวสหรัฐ รอนนา เครส และนิกกี แบร์เร็ตในออสเตรเลียเพื่อควานหาจากนักแสดงที่มีประสบการณ์หลายระดับจากหลากหลายประเทศ เขามองว่าเหล่าภรรยาเป็นเหมือนท่วงทำนอง และต้องการคนที่สามารถนำตัวโน้ตของตัวเองมาใส่ในท่วงทำนองนี้ “ภรรยาทั้งห้าเป็น MacGuffin หรือสิ่งที่ทุกคนไขว่คว้าในหนังเรื่องนี้” มิลเลอร์ระบุ “คุณต้องสามารถสังเกตเห็นแต่ละคนได้ทันทีท่ามกลางการไล่ล่าอันบ้าคลั่งทั่วเวสต์แลนด์”สำหรับ เดอะ สเปลนดิด อังฮารัด ผู้นำเฉพาะกิจของเหล่าภรรยา ทีมงานได้เลือกนางแบบที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง โรซี ฮันทิงตัน-ไวต์ลีย์ โดยได้ไรลีย์ คีโอ มารับบทเป็นรองผู้บัญชาการที่มีชื่อว่าแคปเปเบิล ส่วนโซอี คราวิตซ์ รับบทเป็นสาวแกร่งและฉลาดที่ชื่อ โทสต์ เดอะ โนว์อิง ขณะที่คอร์ตนีย์ อีตัน รับบทเป็นตัวละครผู้ได้รับการปกป้อง ชีโด เดอะ ฟราไจล์ และแอ็บบี ลี รับบทเป็น เดอะ แด็ก ทั้งห้าเดินทางมายังซิดนีย์เพื่อใช้เวลาสามสัปดาห์ทำการฝึกซ้อม ลองชุด ฝึกการเคลื่อนไหวกับนักออกแบบท่าทางชาวออสเตรเลีย เมอริล แทงคาร์ด และศึกษาตัวละครในเวิร์คช็อพกับนิโค ลาธูริส เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาข้อมูล นักแสดงกลุ่มนี้ยังได้ใช้เวลากับนักเขียนบทละครเฟมินิสต์ อีฟ เอนสเลอร์ ซึ่งเคยทำงานในคองโกกับผู้หญิงซึ่งประสบปัญหาจากการถูกข่มขืนประสบการณ์นั้นช่วยสร้างความกระจ่างให้ ฮันทิงตัน-ไวต์ลีย์ หนึ่งเดียวในหมู่ภรรยาที่การข่มขืนนั้นส่งผลให้เธอตั้งครรภ์ “อีฟ เอนสเลอร์ เก่งมาก และช่วยให้ทุกอย่างเป็นจริงสำหรับเรา” เธอกล่าว “สเปลนดิดเป็นผู้นำและเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งมาก เธอเป็นเหมือนแม่ให้น้องๆ ทั้งหมด แต่ก็มีความรู้สึกที่ขัดแย้งในตัวเองต่อการตั้งครรภ์ ฉันศึกษาข้อมูลมากมายด้วยตนเองและได้พูดคุยกับอีฟและจอร์จหลายครั้งเรื่องที่ว่าเธอจะรู้สึกขัดแย้งมากแค่ไหนกับลูกที่อยู่ในครรภ์ เธอแสดงความกล้าหาญออกมาหลายครั้ง แต่บ่อยครั้งก็บุ่มบ่ามเกินไป และฉันมองว่านั่นเป็นการแสดงความเจ็บปวดต่อสิ่งที่อิมมอร์แทนทำกับเธอและความเป็นไปได้ที่เธออาจจะรักเด็กคนนี้”ตัวละครแคปเปเบิลของคีโอก็มีด้านที่อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเธอพบว่านักซ์แอบหลบอยู่ในวอร์ริกเมื่อล้มเหลวที่จะพลีชีพเพื่อหยุดรถคันนี้ คีโอกล่าวว่า “เหล่าภรรยาเคยเห็นอิมมอร์แทนเวลาที่เขาอ่อนแอ ดังนั้นแคปเปเบิลจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่เทพเจ้าอย่างที่นักซ์เชื่อว่าเขาเป็น เธอรู้สึกสงสารและได้ค้นพบเป้าหมายใหม่เมื่อเธอพบนักซ์ ทั้งสองเริ่มมีใจให้กันและกัน”โฮลต์เสริมว่า “นักซ์เติบโตมาในโลกที่โหดร้าย ดังนั้นการที่แคปเปเบิลมารับฟังและใส่ใจเขาเป็นสิ่งทีเขาแทบจะไม่เข้าใจ เขาก็เหมือนกับลูกหมา นับตั้งแต่นั้นเขาจึงทุ่มหมดหน้าตักให้เธอ เธอเป็นคนเดียวที่เห็นความเป็นไปได้ว่าเขาอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตและเปิดใจรับสิ่งอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เขารู้จักมาตลอด” ที่ปลายอีกฟากหนึ่งคือโทสต์ซึ่งปรารถนาจะเป็นนักรบเช่นเดียวกับฟูริโอซา คราวิตซ์ให้ความเห็นว่า “สาวๆ เหล่านี้ไม่เคยต้องทำอะไรเพื่อตนเอง แล้วพวกเธอกลับต้องมาดิ้นรนเพื่อชีวิตของตน อยู่ๆ พวกเธอก็ต้องมาปกป้องตัวเองและโหลดอาวุธให้ฟูริโอซา และโทสต์ก็เป็นคนที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่นี้และต่อสู้ ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดหรือคาดเดาอะไรอีกต่อไป เพราะมีคนคอยตามล่าคุณอยู่ตลอดเวลา”ลี นางแบบซึ่งมาเล่นหนังเป็นครั้งแรก ดึงดูดความสนใจของมิลเลอร์ในการมารับบทเดอะ แด็ก ระหว่างการคัดเลือกนักแสดง เพื่อทำความรู้จักนักแสดง เขาขอให้นักแสดงที่มาคัดตัวเป็นกลุ่มภรรยาลองเล่นบทหนังหรือบทละครทีวีอื่นที่มีอยู่แล้วแทนที่จะเป็นบทจากในหนัง “ถ้าใครสักคนเลือกบทที่มีจังหวะจะโคนจาก ‘Network’ หรืออะไรตลกๆ อย่างฉากนกแก้วใน Monty Python…บทที่นักแสดงเลือกจะช่วยได้มากในการบอกผมว่าเธอเป็นนักแสดงแบบไหน” มิลเลอร์เผย ลีเป็นเพียงคนเดียวที่เลือก Monty Python และกลายมาเป็น “ตัวตลกประจำกลุ่ม” ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ “เดอะ แด็กเป็นตัวตลกที่แทรกเข้ามาในหนังเรื่องนี้” ลีกล่าว ด้วยความเป็นคนออสเตรเลีย เธอจึงเติบโตมาโดยคุ้นเคยดีกับวัฒนธรรมแบบ “Mad Max” “มีความหม่นมืดอยู่ในตัวเธอซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดความตลกขึ้นมา มันเป็นกลไกในการรับมือของเธอ ชื่อของเธอมาจากคำว่า ‘daggy’ ซึ่งเป็นคำเรียกคนที่ทำตัวเพี้ยนๆ หรือประดักประเดิดด้วยความเอ็นดู เธอสนใจเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยจนคนอาจนึกว่าเธอกำลังประสาทเสีย ทั้งที่จริงแล้วเธอตื่นตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวมากกว่า”ชีวิตเลียนแบบศิลปะในกองถ่ายนี้เมื่อลีต้องขวัญผวาที่ได้เห็นคียส์-เบิร์นนำทัพเข้าโจมตีรถวอร์ริกโดยสวมชุดอิมมอร์แทน โจ เต็มยศ มิลเลอร์เล่าว่า “เธอพูดว่าการได้เห็นฮิวจ์เล่นเป็นตัวละครนี้เป็นครั้งแรกทำให้เธอกลัวอย่างที่สุดเลยล่ะ ฮิวจ์เป็นอย่างนี้ล่ะ เขาเป็นคนอ่อนโยนน่ารัก แต่เขาก็สามารถข่มขู่คุณได้ด้วยดวงตาคู่นั้นหลังหน้ากากซึ่งดูเหี้ยมโหดไม่น้อยเลย”อีตัน ซึ่งเพิ่งมีอายุ 16 ปีระหว่างการถ่ายทำรับบทเป็น ฟราไจล์ หญิงสาวที่อายุน้อยและไร้เดียงสาที่สุดในหมู่ภรรยา “ฟราไจล์ไม่ได้เกิดในโลกภายนอก” อีตันบรรยาย “เธอเกิดในซิตาเดลและไม่รู้จักอะไรอย่างอื่นนอกจากชีวิตในนั้น ดังนั้นการออกไปข้างนอกจึงส่งผลต่อตัวเธอ เธอต้องการกลับไปยังที่ที่ปลอดภัยและมั่นคง ที่ซึ่งเธอมีอาหารและน้ำและรู้ว่าเธอจะไม่ตาย เธอคล้ายภรรยาที่ถูกสามีทำร้ายแต่ก็ยังจะกลับไปหาคนที่ทำร้ายเธอ”มิลเลอร์ให้ความเห็นว่า “ผู้หญิงทุกคนในกลุ่มนี้อ่อนแอเพราะพวกเธอไม่เคยออกไปยังเวสต์แลนด์ และอย่างที่ฟูริโอซาพูด “ข้างนอกนี่มันโหดนะ’ ในจำนวนนี้ฟราไจล์คือคนที่อ่อนแอที่สุด แต่เธอก็ได้พบความเข้มแข็งของตัวเองในเรื่องนี้” ฟราไจล์มีแรงจูงใจน้อยที่สุดในการหากรีนเพลส โอเอซิสอันอุดมสมบูรณ์ที่ฟูริโอซาจำได้จากช่วงชีวิตในวัยเด็ก ซึ่งเธอเชื่อว่าเหล่าภรรยาจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าเพื่อตัวเองและลูกที่ยังไม่เกิดของสเปลนดิด “ฟูริโอซายังไม่จมลงสู่ความสิ้นหวังเหมือนแม็กซ์” มิลเลอร์กล่าว “เธอเจ็บปวด แต่ยังคงตั้งใจที่จะหนีออกไปจากเวสต์แลนด์ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่เพื่อหญิงสาวเหล่านี้ซึ่งยังคงมีความหวัง เธอพยายามนำพวกเธอไปยังกรีนเพลสเพื่อค้นหาความหมายในชีวิตของเธอเอง”เช่นเดียวกับแม็กซ์ ฟูริโอซาไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ แต่ด้วยสถานการณ์ บทบาทหน้าที่ และความจำเป็น ความไว้วางใจจึงเริ่มเกิดขึ้น “การเดินทางของฟูริโอซาไม่เป็นไปตามแผนเมื่อเธอได้มาพบกับแม็กซ์” เธอรอนตั้งข้อสังเกต “พวกเขาบังเอิญต้องมาอยู่ร่วมกันในการเดินทางแห่งความหวังท่ามกลางสถานที่ซึ่งไร้หวังนี้”“แม็กซ์และฟูริโอซาเป็นตัวละครที่คล้ายคลึงกันมาก และทั้งสองก็เริ่มเกิดความเข้าใจที่รู้กันเองระหว่างคนที่มีความคิดจิตใจคล้ายๆ กัน” ฮาร์ดีกล่าว “การใส่ใจในสิ่งใดหรือบุคคลไหนเป็นเรื่องอันตราย แต่พวกเขาก็ยังทำ นี่ไม่ใช่เรื่องรัก แต่ทั้งสองต่างช่วยดึงบางสิ่งที่มีอยู่ในตัวอีกคนหนึ่งออกมาซึ่งทำให้การที่ทั้งสองสื่อถึงกันและช่วยผลักดันอีกฝ่ายไปข้างหน้ากลายเป็นสิ่งจำเป็น” ขณะที่อิมมอร์แทนลงมืออย่างเหี้ยมโหดเพื่อทวงคืนสมบัติของตน แม็กซ์ก็ปฏิบัติการจู่โจมกลับเพื่อให้วอร์ริกมุ่งหน้าต่อไปและกำจัดวอร์ลอร์ดไปให้พ้นทาง “ในกลุ่มเล็กๆ นี้ แม็กซ์ได้เห็นความผูกพันและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกลุ่มคนซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังทำสิ่งที่สำคัญ มันช่วยให้เขาได้หลุดพ้นจากความหมกมุ่นของตัวเองเป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน” ฮาร์ดีกล่าว “ในโลกที่การอยู่รอดคือทุกสิ่งและไม่มีอะไรให้ยึดเกาะเอาไว้ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ถือเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษ”ลาธูริสชี้ว่าความเป็นมนุษย์ที่แม็กซ์ได้พบเห็นช่วยนำเขาจากการ “แยกตัวออก” มา “เป็นส่วนหนึ่ง” โดยกล่าวว่า “แม็กซ์วิ่งหนีจากด้านดีของเขามาตลอด บนวอร์ริก ตัวตนฝ่ายดีได้กลับมาหาเขาอีกครั้ง และนั่นก็คือฟูริโอซา พวกเขาเริ่มต้นจากการอยากฆ่ากันและกัน แล้วก็มาจบลงด้วยการที่แม็กซ์ยินดีสละชีวิตเพื่อเธอและเป้าหมายที่เธอยึดมั่น ส่วนที่แตกสลายในตัวแม็กซ์จะเยียวยาได้ด้วยความรักเท่านั้น” “เราเห็นพัฒนาการของเขากลายเป็นคนที่มีเกียรติและไว้วางใจได้มากขึ้น” มิลเลอร์ให้ความเห็น “เราได้เห็นว่าตัวตนด้านที่ดีกว่าของเขาเป็นอย่างไร นั่นคือจุดที่ฟูริโอซาเป็นมาตั้งแต่แรก เธอมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในแนวทางของเธอเอง หัวใจของเธอเกือบจะถูกบดขี้ยด้วยการเดินทางครั้งนี้ แต่ทั้งสองก็ร่วมกันค้นหาหนทางที่จะยืนหยัดท่ามกลางความสับสนอลหม่านในโลกใบนี้และพบหนทางชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำไป”เมื่อตำนานฟื้นคืนชีพ“ด้วยมือของฉัน นายจะลุกขึ้นจากเถ้าถ่านของโลกใบนี้” – อิมมอร์แทน โจนับตั้งแต่ภาพแรก “Mad Mad: Fury Road” ปรากฏในจินตนาการของมิลเลอร์ในรูปของเรื่องเล่าผ่านภาพ แทนที่จะเขียนบทภาพยนตร์เหมือนทั่วไป ผู้กำกับรายนี้ได้ติดต่อ เบรนแดน แม็คคาร์ธีย์ นักวาดคอมิก นักทำแอนิเมชัน และศิลปิน ซึ่งได้ส่งงานให้เขาดูมาตลอดหลายปี สิ่งที่เริ่มขึ้นจากการร่วมงานกันเพื่อทำคอนเซ็พต์อาร์ตกลายมาเป็นการที่มิลเลอร์ขอให้แฟนพันธุ์แท้ของนักรบบนท้องถนนรายนี้มาร่วมเขียนบทด้วย สำหรับแม็คคาร์ธีย์ มันเป็นข้อเสนอที่ชวนให้ต้องอ้าปากค้าง “ผมพูดว่า ‘คุณรู้ใช่ไหมว่าผมไม่เคยเขียนหนังใหญ่มาก่อนเลยนะ’” แม็คคาร์ธีย์ย้อนความหลัง “เขายักไหล่และพูดว่า ‘ไม่ต้องกังวล ผมรู้น่า’ เราก็เลยเริ่มต้นทำงานเหมือนคนบ้าสองคนในธันเดอร์โดม ปลุกปล้ำกับบทจนมันสำเร็จออกมา ในฐานะแฟนของหนังภาคก่อนๆ มันเยี่ยมมากครับที่ได้เห็นภาคใหม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาต่อหน้า ตลอดเวลาที่เราวางพื้นฐานแรกเริ่ม เรารู้ดีว่าหนังเรื่องนี้จะต้องกระหึ่มในโรงภาพยนตร์ด้วยแรงเร่งแบบเต็มพิกัด เรารู้ดีว่าเราจะต้องไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”ศิลปินอีกสองคนเข้าร่วมทัพเพื่อนำเอาภาพคร่าวๆ ของมิลเลอร์และแม็คคาร์ธีย์มาแต่งเติมรายละเอียดให้กลายเป็นงานศิลป์ที่ครบสมบูรณ์ ปีเตอร์ พาวด์ “เซียนรถ” ผู้รอบรู้ด้านการขับเคลื่อนและข้อมูลจำเพาะของยานพาหนะต่างๆ กลายมาเป็นนักออกแบบหลักสำหรับยานพาหนะในหนังเรื่องนี้ และมาร์ค เซ็กซ์ตัน ผู้มีภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์และเชี่ยวชาญด้านการสร้างโลกจินตนาการ ทำหน้าที่เป็นนักวาดสตอรีบอร์ดหลัก ผ่านไปเกือบหนึ่งปี ทีมงานสร้างสรรค์ก็ได้แปะผนังห้องประชุมในสตูดิโอของมิลเลอร์ด้วยสตอรีบอร์ด 3,500 แผ่น นั่นคือร่างแรกในรูปแบบภาพของ “Mad Max: Fury Road” มิลเลอร์เลือก นิโค ลาธูริส มาวิเคราะห์ตัวบทในเรื่อง แต่ในไม่ช้าก็ขอให้เพื่อนที่ร่วมงานกันมานานรายนี้เข้าร่วมทีมเขียนบทด้วย “ผมคิดว่าจอร์จได้อาศัยธรรมชาติอันลึกซึ้งของจิตใจมนุษย์ในการสร้างเรื่องราวของ ‘Mad Max’” เขากล่าว “ภายใต้แอ็คชั่นที่อัดแน่นใน ‘Fury Road’ ผมเห็นกลุ่มตัวละครซึ่งต่างส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน และมิติที่รุ่มรวยในการเป็นเรื่องเล่าเชิงเปรียบเทียบก็กลายเป็นอิทธิพลสำคัญในการปรับพลังเชิงดรามาระหว่างตัวละครเหล่านี้” สมาชิกหลักสามคนในทีมของมิลเลอร์เข้ามาร่วมงานด้วยตั้งแต่แรก และร่วมผ่านความล่าช้า ทางอ้อม และทางวกกลับที่โครงการนี้ได้พบมาตลอดสิบปีนับจากนั้น คนเหล่านี้ได้แก่ พี เจ โวเทน, กาย นอร์ริส และนักออกแบบงานสร้าง คอลิน กิ๊บสัน “ถ้าไม่เพราะความสามารถของพีเจ คอลิน และกาย เราคงหมดหวังที่จะทำหนังเรื่องนี้ออกมา” ดั๊ก มิตเชลล์ยืนยัน “และคงเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจอร์จไม่ได้ใช้เวลาเขียนเรื่องออกมาเป็นภาพ สตอรีบอร์ดช่วยให้เขาสามารถตัดต่อหนังไปทีละช็อตๆ และมันกลายเป็นคัมภีร์หลักในการสร้าง ‘Fury Road’ ให้เป็นจริงขึ้นมาในทุกๆ ขั้นตอน”อีกหลายปีต่อมา คณะผู้ร่วมงานขยายวงกว้างขึ้นโดยได้รวมนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนนี เบแวน, นักออกแบบเมคอัพ เลสลีย์ แวนเดอร์วอลต์, ผู้ควบคุมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ แดน โอลิเวอร์ และแอนดรูว์ วิลเลียมส์ และผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ แอนดรูว์ แจ็กสันผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ จอห์น ซีล เพิ่งเกษียณงานมาได้หนึ่งเดือนเมื่อทีมทำหนังเชิญเขามาร่วมงานด้วย “เพราะเป็น ‘Mad Max’ และเพราะว่าเป็นจอร์จ” ซีลกล่าว “ผมก็เลยไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ ผมชอบทำงานกับจอร์จนะ เขาเป็นคนที่น่ารักมาก คุณอยู่ในทะเลทราย กล้องเดินอยู่ รถบรรทุกล้มคว่ำหรือเครื่องพัง อากาศไม่เป็นใจ เขาจะวางมือลงบนบ่าผมและพูดว่า ‘ไม่ต้องกังวล จอห์นนี ผมดูแลคุณเอง เราจะแก้ไขกันในช่วงโพสต์นะ’” มิลเลอร์วางแผนที่จะถ่ายทำด้วยกล้องตัวเดียว แต่เมื่อถึงเวลาระหว่างการถ่ายทำหลัก ซีลและทีมงานก็ใช้กล้อง Arri Alexa Plus เฉลี่ยสามถึงสี่ตัวและกล้อง Arri M Steadicam สองถึงสี่ตัวพร้อมกันในแต่ละวัน รวมถึงกล้องทางอากาศและกล้องในรถซึ่งมีการ์ดดิจิตัลที่นำออกมาได้ ซีลยังอาสาที่จะควบคุมกล้องของเขาเองเพื่อจับภาพผ่านเลนส์ซูม 11:1 ในกล้องที่มิลเลอร์ตั้งฉายาให้ว่า “กล้องปาปารัสซี” “ผมชอบออกไปถ่ายโคลสอัพนิดๆ หน่อยๆ ครับ” ซีลกล่าว แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่า Edge Arm…นับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการพัฒนาโครงการ ทีมผู้ร่วมงานระดมสมองกับมิลเลอร์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาอยากทำให้แตกต่างออกไปใน “Mad Max: Fury Road” และประเด็นเร่งด่วนก็คือข้อจำกัดที่มิลเลอร์พบจากรถสำหรับวางกล้อง ทีมงานตัดสินใจสร้างรถวิบากออฟโร้ดสำหรับลุยทะเลทราย และติดต่อให้บริษัทกล้องแห่งหนึ่งมาติดตั้งอุปกรณ์ ก่อนที่แผนการนั้นจะได้เริ่มดำเนินการ โวเทนไปทำงานกับหนังอีกเรื่องหนึ่งและค้นพบหนทางแก้ปัญหาที่ล้ำหน้าและดีงามโวเทนเล่าว่า “ระบบ Edge Arm ช่วยให้ความยืดหยุ่นในการนำกล้องไปไว้ตรงไหนก็ได้อย่างปลอดภัยและให้ภาพที่น่าทึ่ง ทันทีที่ผมเห็นว่า Edge ทำอะไรได้บ้าง ผมรู้เลยว่าต้องนำมันไปใช้ใน ‘Fury Road’ และรีบโม้ให้จอร์จกับดั๊กฟังทันที”ในการเดินทางไปยังสหรัฐ นอร์ริสได้พบดีน เบลีย์จาก LAMotorsports ซึ่งเสนอจะสร้างรถแข่งออฟโร้ดเครื่องยนต์ V-8 ซูเปอร์ชาร์จให้เป็นพิเศษโดยมีเครนยกกล้องที่มีหลังคาคลุมและระบบกันสั่นด้วย gyrostabilizer เครนนี้สามารถยืดออกไปได้ยาวกว่า 20 ฟุต หมุน 360 องศา และเคลื่อนไหวได้เต็มที่ในทิศทางใดก็ได้ “หลังจากจอร์จทดลองครั้งแรก เขาก็บอกเลยว่าเราถ่ายหนังทั้งเรื่องด้วยเจ้าเครื่องนี้ก็ยังได้” โวเทนกล่าว “และ Edge Arm ก็ให้ผลลัพธ์อันน่าประทับใจในทุกๆ วัน”เบลีย์นำทีมผู้ควบคุมกล้องมากับเขาด้วย โดยมีบรู้คส์ กายเออร์ และไมเคิล บาร์เน็ตต์ บังคับเครนและควบคุมกล้องตามลำดับผ่านรีโมตคอนโทรล ทั้งหมดติดอยู่กับยานพาหนะ ทีมทำหนังยังได้ปล่อย “ทรักกี” ซึ่งควบคุมด้วยวิทยุและเป็นการนำรถบรรทุกกับรถวิบากมารวมเข้าด้วยกัน รถเหล่านี้แล่นไปตามทะเลทราย ติดตั้งกล้องที่ควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรลไว้บนหัวกล้อง Libra เพื่อไม่ให้ภาพเบลอ “จอร์จเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ และเราวางแผนที่จะให้ทีมงานอยู่ในรถที่แล่นด้วยความเร็วให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้” โวเทนกล่าว มิลเลอร์ใช้เวลาหลายวันถ่ายทำฉากบู๊ภายใน Edge โดยกำกับการแสดงในระหว่างนั้นผ่านจอมอนิเตอร์แยกภายในห้องควบคุม “มันเป็นเครื่องจักรที่น่าทึ่ง” เขากล่าวชม “ผมติดใจมันมากเลยล่ะครับ เพราะคุณเข้าไปข้างในนั้นแล้วคุณก็จะได้อยู่ท่ามกลางฉากแอ็คชั่น ควบคุมกล้องเหมือนเป็นวิดีโอเกม สำหรับหนังที่ต้องถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นออกมาทันที การมีเครื่องมือแบบนี้นับว่าพิเศษมากๆ”“จอร์จตกหลุมรักมัน ดังนั้นสุดท้ายเราจึงมีเครื่องแบบนี้อยู่สองเครื่อง เครื่องหนึ่งสำหรับกองหลักและอีกเครื่องสำหรับกองแอ็คชั่น” นอร์ริสกล่าว “คุณถูกห่อหุ้มอยู่ในยานพาหนะออฟโร้ดอันน่าทึ่งนี้ จึงไม่มีอันตรายใดๆ และคุณสามารถวางกล้องไว้ตรงไหนก็ได้ ผมถ่ายทำงานโดยใช้ Edge น่าจะราวเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของกองแอ็คชั่นเลยล่ะครับ” ในการออกแบบท่าทางสำหรับฉากบู๊ นอร์ริสแยกสตอรีบอร์ดเป็นส่วนๆ ตามแต่ละฉากเพื่อออกแบบแอ็คชั่นที่ดึงดูดซึ่งมีการเล่นฉากบู๊หลายส่วนพร้อมๆ กันไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ “หลังจากทำงานกับจอร์จมานาน ผมได้เรียนรู้ที่จะปล่อยให้แอ็คชั่นยิงยาวไปเท่าที่จะทำได้ไปจนถึงจุดที่มันจะหยุดตามธรรมชาติของมันเอง” นอร์ริสกล่าว “เมื่อการแสดงฉากบู๊ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกัน จอร์จก็มีอิสระที่จะวางกล้องของเขาไว้ตรงไหนก็ได้ในฉาก” มิลเลอร์วางกฎเบื้องต้นหรือกลยุทธ์ในการออกแบบไว้สามข้อซึ่งรวมอยู่ในการออกแบบและสร้างสรรค์ทุกๆ ระดับ เริ่มตั้งแต่จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง “ลองจินตนาการว่าตั้งแต่วันพุธหน้าเป็นต้นไป ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เราอ่านเจอตามข่าวกลายเป็นความจริงพร้อมกัน” ผู้กำกับอธิบาย “ทีนี้เราก็กระโดดไปยังอีก 45 ปีข้างหน้า ไม่มีการผลิตสินค้าแบบเป็นอุตสาหกรรม ทุกอย่างในเวสต์แลนด์เป็นเศษวัสดุที่เก็บได้แล้วนำมาดัดแปลงใหม่ และแต่ละชิ้นก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ว่ามันรอดมาจากวันสิ้นโลกได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ แว่นตา หรือแขนกลของฟูริโอซา”นอกจากนี้การยกย่องสัญชาตญาณของมนุษย์ในการประดิษฐ์คิดค้นและสร้างศิลปะก็เป็นสิ่งสำคัญมาก “เพียงเพราะว่ามันเป็นเวสต์แลนด์ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะไม่สร้างสิ่งสวยงาม” เขากล่าวต่อ “ผมไปมาแล้วทั่วโลก และแม้กระทั่งในวัฒนธรรมที่ยากไร้ก็ยังมีความงามอันทรงพลังอยู่ ดังนั้นทุกอย่างในหนังของเราจึงต้องมีหน้าที่ใช้สอย แต่ตกแต่งด้วยความใส่ใจให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เศษวัสดุเหล่านี้อยู่รอดมาได้ในที่ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่อาจรับไหว เพราะฉะนั้นพวกมันจึงมีความสำคัญแทบจะใกล้เคียงกับวัตถุบูชาทางศาสนา””แต่เขาก็ชี้ด้วยว่าสิ่งที่ฝังอยู่ใน “Mad Max” ก็คืออารมณ์ขันแบบเพี้ยนๆ “เราอยู่ในโลกที่บ้าคลั่งและหม่นมืด แล้วมนุษย์ก็มีธรรมชาติที่จะนำเอาความเริงร่าไร้สติออกมา เป็นความเพ้อคลั่งที่บรรยายได้ชัดเจนที่สุดด้วยบทพูดของนักซ์กลางพายุพิษขณะที่บรรดารถถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ สำหรับเขาแล้ว การตายในพายุทอร์นาโดที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเปลวเพลิงถือเป็นวันที่สุดยอดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว’’ หลักทั้งสามข้อนี้เป็นแกนหลักให้กับทีมงานทุกฝ่ายซึ่งทำงานเพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตนมาประสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว สำหรับกิ๊บสัน ขั้นตอนแรกคือการสำรวจสภาพแวดล้อมยุคหลังวันสิ้นโลกว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร “แนวคิดของจอร์จคือมันเป็นการรวมกันของวิกฤติทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้” กิ๊บสันอธิบาย “ดังนั้นเราจึงมีผืนผ้าใบที่สมบูรณ์แบบเพื่อวาดความเป็นประวัติศาสตร์ลงไป ด้วยยานพาหนะที่ทำด้วยเหล็กดำสึกกร่อน มีคราบสนิมเปรอะตามที่ต่างๆ บนทะเลทรายว่างเปล่าโล่งร้าง แต่มันไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่เสียหายมารวมกัน มนุษยชาติก็กำลังทุกข์ทรมาน ความไร้ระเบียบแผ่ขยายไปทั่วทุกที่ ดังนั้นการที่สีสันซีดจางลงก็ช่วยให้เราใช้สีอย่างจำกัดและทำให้มันมีความหมายขึ้นมา”ในเวสต์แลนด์ของมิลเลอร์ ทีมงานเน้นหลักน้อยได้มาก กิ๊บสันและเพื่อนร่วมงานจะต้องแน่ใจว่าสิ่งของแต่ละชิ้นสามารถสืบย้อนกลับไปถึงช่วงที่โลกแตกได้ เขาขุดลึกลงไปยังคัมภีร์ที่มิลเลอร์ทำขึ้นเพื่อวางแบบแผนของประวัติศาสตร์ ลำดับชนชั้น ระบบความเชื่อ และทรัพยากรของชนเผ่าแต่ละเผ่าที่อยู่ในหนัง ข้อมูลเหล่านี้จะกำหนดว่าชนเผ่าต่างๆ จะต้องมีหน้าตา ท่าทาง และการพูดจาอย่างไร รวมไปถึงหน้ากาก การตกแต่งร่างกาย เครื่องแต่งกาย เครื่องมือ อาวุธ หรือยานพาหนะ ลึกลงไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อย “เราถอยหลังไปอย่างน่าตกใจจนแทบจะกลับไปสู่โลกยุคกลาง” กิ๊บสันเล่า “ดังนั้นเราจึงคาดว่าจะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและลัทธิความเชื่อที่เคร่งครัดซึ่งเกิดจากการขาดทรัพยากร มีความขัดสนและการขาดแคลนสิ่งต่างๆ กระป๋องน้ำอัดลมเล็กๆ ที่เทน้ำอัดลมออกและเติมด้วยน้ำมันกลายเป็นขุมทรัพย์ เราตัดสินใจกันว่าเพื่อให้สมจริง เราจำเป็นต้องใช้ซากวัตถุจริงในการสร้างของประกอบฉาก ยานพาหนะ และวัตถุสิ่งของอื่นๆ เพื่อที่ว่าแต่ละชิ้นจะได้สะท้อนแนวคิดเรื่องจุดสิ้นสุดของโลกจริงๆ”ชีวิตเลียนแบบศิลปะเมื่อทีมงานออกแบบทั้งหมดตั้งใจรีไซเคิลและหลอมวัตถุขึ้นมาใหม่ให้มากเท่าที่จะทำได้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในหนังขึ้นมา ด้วยการสร้างอาวุธจากกระป๋องน้ำอัดลม ยางรถยนต์ และยางใน สร้างของแต่งรถจากเหยือกเบียร์และถ้วยรางวัลพิวเตอร์มือสองที่นำมาหลอมใหม่ และสร้างยานพาหนะที่ปรับแต่งพิเศษด้วยมือโดยส่วนหนึ่งมาจากชิ้นส่วนซากรถ 350 คันที่ได้รับการปลุกชีวิตขึ้นมาใหม่ กิ๊บสันเผยว่าที่ซิตาเดลและทั่วทุกหัวระแหงในเวสต์แลนด์ คุณใช้อะไรก็ตามที่มีอยู่เพื่อสนองความต้องการ “จอร์จสนับสนุนสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘การแปลงร่างได้หลายแบบ’ จุดประสงค์คือการใช้งานได้อย่างทนทานมีประสิทธิภาพซึ่งอาจสร้างขึ้นจากอะไรก็ได้และปรับแต่งตามความต้องการ ไม้เท้าอาจกลายเป็นหอก แล้วพอไม้นั้นหัก มันก็กลายเป็นธนูสำหรับหน้าไม้ จากนั้นเมื่อมันแตกออก มันก็กลายเป็นไม้จิมฟัน จากนั้นก็กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับก่อไฟ”สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังคืออาวุธที่ทำจากหอกติดปลายยอดด้วยระเบิดมือสำหรับการรบแบบสนามเพลาะ ซึ่งพวกวอร์บอยใช้เจาะเกราะของวอร์ริก “มันเป็นวัตถุระเบิดซึ่งมีที่จุดระเบิดอยู่ด้านหน้าและฝ่ายศิลป์ก็ทำมันออกมาได้อย่างสวยงาม” มิลเลอร์กล่าว “ถ้าคุณมองดูใกล้ๆ มือจับได้รับการผลิตมาอย่างละเอียดมากโดยมีพู่ประดับอยู่ด้วย มันไม่ใช่แค่อาวุธ แต่เป็นของใช้ส่วนตัว”กิ๊บสันเองก็มีอาวุธที่ทำด้วยมือซึ่งน่าจะมีอยู่ได้จริงในอนาคตอันถดถอย “มันเป็นการนำวัสดุต่างๆ มาใช้ใหม่ ปืนพ่นสีและเครื่องเจาะหินกลายมาเป็นปืนและเครื่องพ่นไฟ” เขาอธิบาย นักออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนนี เบแวน ยินดีที่ได้นำเอาขอบเขตจินตนาการของมิลเลอร์มาถ่ายทอดเป็นความจริงในโลกที่จำกัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันช่วยให้เธอได้พบความท้าทาย “ฉันทำงานในหนังพีเรียดมาหลายเรื่องแล้วค่ะ แต่เสน่ห์ของการทำงานเกี่ยวกับยุคหลังวันสิ้นโลกคือมันทำให้คุณต้องใช้สมองมากขึ้นในแบบที่ต่างออกไปซึ่งเป็นโอกาสที่น่าลองมาก มันเพ้อฝันและมีความเป็นแฟนตาซี แต่ก็ยังคงวางอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่แปลกประหลาด ฉันชอบที่ได้มีอิสระในการสร้างสิ่งที่ผิดเพี้ยนแต่มีชีวิตชีวา”แม้ว่ากฎพื้นฐานข้อหนึ่งของมิลเลอร์คือการหลีกเลี่ยงสิ่งที่คล้ายกับในหนังภาคก่อนๆ แต่ทีมสตอรีบอร์ดก็พบสิ่งของสำคัญชิ้นหนึ่งที่เกินจะห้ามใจ นั่นคือแจ็กเก็ตหนังตัวที่เมล กิ๊บสันใส่ใน “The Road Warrior” เมื่อสิ่งนี้โผล่ขึ้นมา พาวด์ได้นำเอาแจ็คเก็ตในตำนานและแผงบ่าไปสร้างสรรค์ให้เป็นชุดใหม่ที่คล้ายกันสำหรับตัวละครแม็กซ์ที่ฮาร์ดีรับบท จากจุดนั้น เบแวนร่วมมือกับฮาร์ดีในการพัฒนาและกำหนดสไตล์การแต่งตัวให้นักรบบนท้องถนนของ “Mad Max: Fury Road.” “ทอมเข้ามาพร้อมกับแนวคิดต่างๆ ของเขาเองเยอะแยะไปหมด” เธอเล่า “เรารวบรวมหลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันและนำมาสร้างเป็นเครื่องแต่งกายซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องถูกริบไปในเวลาไม่นาน แต่แนวคิดก็คือว่าเขาจะค่อยๆ ได้รับมันกลับมาระหว่างที่หนังดำเนินไป”สุดท้ายทีมเครื่องแต่งกายผลิตชุดของแม็กซ์แบบเดียวกันนี้ออกมามากกว่า 20 ชุดเพื่อให้นักแสดงสตันท์ทั้งหมดใส่ โดยมีชุดป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ตัวฮาร์ดีเองจะต้องเล่นฉากบู๊มากเท่าที่เขาจะทำได้ รวมถึงฉากการหลบหนีจากซิตาเดลในตอนต้นและการถูกจับกุมอีกครั้งเบแวนยังได้ร่วมงานกับชาร์ลิซ เธอรอนอย่างจริงจังในการเลือกสรรและผลิตเสื้อสีขาวที่เก่าขาด กางเกงหนังทรงหลวม และเกราะที่ปิดส่วนกลางของลำตัวคาดด้วยเข็มขัดสายหนังตามแนวนอน ชุดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นพื้นฐานของตัวละคร ใส่สบาย เน้นประโยชน์ใช้สอย ดูน่าเกรงขาม และไม่อึดอัดในการต่อสู้ ฟูริโอซาเสียแขนข้างซ้ายส่วนหนึ่งไปและใส่แขนกลที่ทำขึ้นด้วยเศษวัสดุโดยศิลปินชาวออสเตรเลีย แม็ตต์ บูก แขนกลอีกเวอร์ชั่นที่มีน้ำหนักเบากว่าได้รับการสร้างขึ้นเพื่อให้เธอรอนและนักแสดงสตันท์ เดย์นา ชิพลิน สวมใส่แล้วเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม “แขนของฟูริโอซาเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการนำเศษวัสดุมารวมเข้ากับความเป็นศิลปะ” มิลเลอร์กล่าว “คุณจะได้เห็นประแจ เพลาข้อเหวี่ยง ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ และยังมีมอเตอร์เล็กๆ จากเครื่องบินของเล่นซึ่งเธอใช้ปั๊มไฮดรอลิกถ้าต้องการพลังเพิ่ม” เธอรอนไม่ได้มองว่าฟูริโอซาเป็นคนที่มีเวลามาสนใจรูปลักษณ์ของตัวเองมากนัก และหลังจากปรึกษากับมิลเลอร์และนักออกแบบเมคอัพ เลสลีย์ แวนเดอร์วอลต์ อยู่นาน เธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ฉันเพิ่งเป็นคุณแม่คนใหม่ ฉันต้องไปอยู่ในทะเลทราย แล้วฉันก็คิดว่า ‘ก็แค่โกนหัวฉันซะ’” เธอรอนเล่า “ฉันตื่นเต้นมากจนต้องรีบโทรไปหาจอร์จ แล้วเขาก็สูดหายใจเฮือกหนึ่งและพูดว่า ‘ได้’ แล้วเราก็โกนหัวกันในเช้าวันถัดมา เมื่อมองย้อนกลับไปฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะเล่นหนังเรื่องนี้ออกมายังไงถ้าไม่ทำแบบนั้น”แวนเดอร์วอลต์ ซึ่งมีประวัติการทำงานกับมิลเลอร์ย้อนกลับไปถึงภาค “The Road Warrior” ก็ได้ช่วยแต่งแต้มคราบสีที่บ่งบอกถึงสถานะของอิมเพอเรเตอร์ โดยกล่าวว่า “อิมเพอเรเตอร์ระดับสูงสุดจะทาหน้าผากด้วยจาระบีสีดำและใช้ผงโลหะและผงแร่ทำให้มันโดดเด่นขึ้น”โทนสีผิวกลายเป็นองค์ประกอบทางภาพที่ทรงพลังสำหรับฟูริโอซา แม็กซ์ และกลุ่มขบฏกลุ่มเล็กในหนังเรื่องนี้ “คนพวกนี้ผ่านอะไรมามากแต่ก็ยังฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ได้” กิ๊บสันระบุ “เราจึงให้สีผิวของคนเหล่านี้ดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภรรยาทั้งห้า ซึ่งร่างกายของพวกเธอนั้นบ่งบอกถึงความหวังและอนาคต”ตัดกับความเป็นจริงอันดิบกร้านของชีวิตในเวสต์แลนด์ เหล่าภรรยาจะต้องดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง “อิมมอร์แทนมองว่าพวกเธอเป็นทรัพย์สมบัติของเขา และได้ปกป้องพวกเธอจากพิษร้ายทั้งมวลในโลกภายนอก” มิลเลอร์ระบุ “ในเวสต์แลนด์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกกลืนกินด้วยมะเร็ง ผู้หญิงกลุ่มนี้จะต้องมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในแง่หนึ่ง” แวนเดอร์วอลต์ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ให้ฮันทิงตัน-ไวท์ลีย์ คีโอ คราวิตซ์ ลี และอีตัน โดยเลือกที่จะใส่บุคลิกของตัวละครลงไปผ่านการทำผม “จอร์จชอบผมสั้นของโซอี และเราคิดว่าโทสต์ก็น่าจะอยากตัดผมออกเพื่อความคล่องตัว” แวนเดอร์วอลต์กล่าว สำหรับเครื่องแต่งกายนั้น นักแสดงไปยังเวิร์คช็อปของเบแวนเพื่อเลือกเสื้อผ้าจากผ้าพันตัวซึ่งทำมาจากผ้าฝ้ายและมัสลิน โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากบัลเลต์ที่มิลเลอร์ไปดูมาซึ่งนักเต้นจะตกแต่งร่างกายด้วยผ้าพันแผล “เหล่าภรรยาอาศัยอยู่ในห้องที่ควบคุมสภาพอากาศมาทั้งชีวิต” เบแวนเสนอ “ดังนั้นเมื่อพวกเธอออกมาจากห้อง พวกเธอจึงน่าจะแต่งตัวไม่เหมาะสมเลยกับสภาพอากาศในเวสต์แลนด์”สำหรับทุกคนในซิตาเดล ร่างกายคือผืนผ้าใบที่แต่ละคนจะทาสี ขูดขีด หรือสวมใส่สิ่งซึ่งแสดงถึงความเชื่อ ที่มา และสถานะของตนเอง กิ๊บสันกล่าวว่า “หน้ากากเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ รอยแผลเป็นบอกเล่าอดีตและจุดยืน เสื้อผ้าบ่งบอกถึงลำดับชั้น ว่าคุณเป็นคนขับรถ คนพุ่งหอก หรือว่าคุณไม่มีอะไรเลย สิ่งเล็กน้อยที่คุณมีอยู่จะสำคัญมากสำหรับคุณ” ใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของอิมมอร์แทนที่มีฟันม้าเรียงเป็นแถวมีประโยชน์ใช้สอยในการกำจัดสารพิษออกจากอากาศ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้วอร์ลอร์ดรายนี้มีภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของกึ่งมนุษย์กึ่งเทพผู้โหดร้าย คียส์-เบิร์น ใส่หน้ากากนี้เหนือเกราะกันกระสุนเพล็กซิกลาสซึ่งทำหน้าที่ปกปิดและควบคุมร่างกายที่ป่วยไข้ของเขา ทั้งหมดนี้ช่วยตรึงศรัทธาของพวกวอร์บอยให้พร้อมถวายชีวิตให้พวกวอร์บอยก็ใส่หน้ากากหลากหลายแบบ แต่ละแบบยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่ทำจากหนังและลวดด้วยฝีมือของเบแวนและทีมงานของเธอในแอฟริกาและออสเตรเลีย หน้ากากของพวกเขาทำหน้าที่สองประการคือเพื่อแสดงความเคารพต่ออิมมอร์แทนและช่วยให้นักแสดงสตันท์ที่รับบทเป็นวอร์บอยสามารถเปลี่ยนบทบาทของตนได้ตามความสามารถในการแสดงสตันท์ ซึ่งรวมถึงการปีนขึ้นไปอยู่เหนือเสาโค้งของกลุ่มโพลแค็ท นักแสดงยังต้องทาตัวเป็นสีขาวด้วยสี ผงแป้ง และดิน เพื่อยกย่องร่างอันขาวซีดของอิมมอร์แทน โดยฝ่ายแต่งหน้าได้ใช้โทนสีผิวที่ต่างกันถึง 61 โทน แวนเดอร์วอลต์และทีมงานตกแต่งร่างกายของพวกวอร์บอยด้วยหมึก สติกเกอร์รอยสัก และรอยกรีด รวมถึงเสื้อรูปลายสักที่ทำขึ้นเป็นพิเศษในการระดมสมองเพื่อค้นหาวิธีการโจมตีของพวกวอร์บอย มิลเลอร์นึกได้ว่าเคยเห็นนักแสดงตามถนนทรงตัวอยู่บนเสา เขาจึงเกิดความคิดขึ้นมา “ตอนที่มีโครงการ ‘Fury Road’ ขึ้นมา ผมคิดว่า ‘แล้วถ้าเราวางเสาพวกนั้นไว้บนรถที่เคลื่อนที่อยู่ล่ะ’ พวกวอร์บอยต้องโจมตีวอร์ริกจากทุกด้าน และถ้าพวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้ล้อหรือใกล้หนามแหลมได้ พวกโพลแค็ทก็ต้องสามารถที่จะแกว่งตัวไปโจมตีจากด้านบนได้เหมือนโจรสลัด” แม้ว่าเขาจะชอบแนวคิดนี้มากเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีว่ามีโอกาสน้อยที่ทีมงานจะทำให้มันเป็นจริงได้อย่างปลอดภัยแม้พวกเขาจะมีทักษะสูงและไว้ใจได้ก็ตาม “เวลาที่คุณให้คนจริงๆ ไปอยู่บนรถที่กำลังวิ่ง ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นล่ะก็ คุณก็จะต้องพบกับอุบัติเหตุที่ร้ายแรง” เขากล่าวนอร์ริส, กิ๊บสัน และโอลิเวอร์ ใช้เวลาเตรียมตัวนานหลายเดือน ระดมความคิดในการหาทุกอย่างตั้งแต่เสาไม้ไผ่ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ทำให้เสาโค้งงอและเครื่องไฮดรอลิก แต่ก็ไม่เป็นผล จนเมื่อมิลเลอร์กำลังจะยอมให้สร้างโพลแค็ทด้วยภาพดิจิตัล ทีมงานจึงได้พบคำตอบ พวกเขาพัฒนาอุปกรณ์คล้ายเมโทรโนมกลับหัวที่สามารถทำงานนี้ได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และสม่ำเสมอ เสาที่สูงถึง 30 ฟุตได้รับการถ่วงน้ำหนักด้วยเสื้อสูบเครื่องยนต์ที่ฐาน โดยวางตำแหน่งไว้ที่จุดหมุน ซึ่งสามารถปรับได้ตามนักแสดงแต่ละคนและการเคลื่อนไหวแบบต่างๆ อุปกรณ์นี้ช่วยให้โพลแค็ทเหินอยู่กลางอากาศโดยการเคลื่อนไหวของนักแสดงจะต้องสัมพันธ์กับทีมสตันท์ซึ่งประจำอยู่บนรถเพื่อคอยผลักและดึงน้ำหนักถ่วงให้เกิดเป็นแรงเหวี่ยงขึ้น “เราจึงสามารถแกว่งเสาไปข้างหน้าและข้างหลังจนแทบจะแตะถึงพื้นที่เก้าสิบองศา” นอร์ริสกล่าว “นักแสดงสื่อสารผ่านหูฟังตลอดเวลาและสามารถเพิ่มจังหวะให้แกว่งลงไปจนถึงพื้นที่เก้าสิบองศาหรือลงไปที่ด้านบนของแท็งค์หรือแม้กระทั่งลงไปที่มอเตอร์ไซค์ เมื่อเราคุมเรื่องฟิสิกส์ได้แล้ว ก็ไม่มีอันตรายจากการที่เสาจะล้มอีกต่อไป”นอร์ริสส่งลิงก์ภาพฟุตเทจทดสอบของทีมงานให้มิลเลอร์ดู โดยแนบข้อความไปเพียงสั้นๆ ว่าเขามีเรื่องให้ผู้กำกับรายนี้ได้ประหลาดใจ “มีโพลแคทครึ่งโหลล้อมรถคันหนึ่งอยู่พร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างสวยงามราวกับบัลเลต์ และกายก็อยู่บนเสาหนึ่งในนั้นคอยถ่ายทำทุกอย่าง” มิลเลอร์ยิ้ม “ตอนที่ผมเห็นฟุตเทจนี้ ผมน้ำตาคลอเบ้าเลยครับ ผมนึกว่าอะไรก็ตามที่เราลองมาจะอันตรายเกินไปที่จะทำได้จริงๆ แต่นักแสดงสามารถอยู่บนเสานั้นได้อย่างปลอดภัย ให้พวกเขาอยู่บนนั้นทั้งวันก็ยังได้ มันเยี่ยมมากจริงๆ”จากนั้นนอร์ริสก็ติดต่อไปยัง สตีเฟน แบลนด์ เพื่อนเก่าอดีตนักแสดงของ Cirque du Soleil เพื่อมาช่วยเขารวบรวมทีมโพลแค็ท ซึ่งต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนักเพื่อปรับแต่งจังหวะเวลาและความสมดุล “วิธีนี้ช่วยให้จอร์จไม่ต้องมาคอยหยุดปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ในระหว่างการถ่ายทำ” นอร์ริสเล่า “เขาสามารถถ่ายทำวอร์ริกแล่นไปตามทะเลทราย โดยมีโพลแคทล้อมอยู่และเข้าโจมตีโดยเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน และมีบางส่วนที่รวมกลุ่มกันจากทางด้านหลัง ทั้งหมดนี้อยู่บนยานพาหนะที่แล่นด้วยความเร็ว”ด้วยฉากบู๊มากมายที่เกิดขึ้นทั่วเวสต์แลนด์ ในบางวันกองถ่ายต้องใช้นักแสดงสตันท์มากถึง 150 คน แต่ทีมสตันท์หลัก 65 คนของนอร์ริสจะรับบทเป็นกองทัพของอิมมอร์แทนตลอดทั้งเรื่อง งานนี้แตกต่างออกไปในแง่ที่พวกเขาไม่ได้เล่นแทนนักแสดงคนอื่น แต่รับบทเป็นวอร์บอยจริงๆ ตลอดการถ่ายทำ “ในหนังเรื่องนี้ คุณสามารถติดตามวอร์บอยคนหนึ่งจากซิตาเดลไปจนถึงการไล่ล่าของกองรบจนกระทั่งเขาจบชีวิตลง” นอร์ริสอธิบาย “ทุกคนพบจุดจบอันยิ่งใหญ่ แต่ก็มีการแข่งขันกันอยู่บ้างว่าใครจะได้เป็นวอร์บอยที่พบความตายแบบเจ๋งที่สุด”ตลอดช่วงเตรียมงานมาจนถึงการถ่ายทำ นักแสดงเข้าถึงบทบาทของตัวละครและลัทธิความเชื่อของอิมมอร์แทนผ่านการฝึกแบบกลุ่มซึ่งรวมถึงการฝึกร่างกายและฝึกการต่อสู้อย่างหนัก สลับด้วยเวิร์คช็อพด้านการแสดงกับลาธูริสและผู้ช่วยของเขา นาเดีย ทาวน์เซนด์ และการพบปะกันหลายครั้งกับ คียส์-เบิร์น อีกคนหนึ่งที่รวมการฝึกด้วยคือ iOTA นักแสดง นักดนตรี และมือเขียนบทชาวออสเตรเลีย ซึ่งรับบทเป็น ดูฟ วอรริเออร์ “เด็กตีกลองรบ” ของกองทัพซิตาเดลจอช เฮลแมน ซึ่งเล่นคู่กับโฮลต์ในบท สลิท พลหอกของนักซ์ เล่าว่า “ฮิวจ์มาปรากฏตัวในฐานะอิมมอร์แทน โจ และ iOTA จะเล่นสดขึ้นมาในเวลานั้นเลยซึ่งมันน่าทึ่งมาก ทุกอย่างช่วยสร้างบรรยากาศของความคลั่งลัทธิให้กับพวกวอร์บอย” iOTA แต่งและอัดเสียงเพลงรบของเขาเองเอาไว้ให้ ดูฟ วอร์ริเออร์ เล่นบนกีตาร์ไฟฟ้าสองคอ/เครื่องพ่นไฟ ในฐานะผู้นำวงดนตรีสุดเพี้ยนประจำสงครามบนท้องถนน ระหว่างการถ่ายทำ นักบันทึกเสียงประจำกองถ่าย เบน ออสโม จะเปิดดนตรีนี้ในหูฟังของคณะตีกลองไทโกะบนรถดูฟ แวกอน เพื่อช่วยให้พวกเขารักษาจังหวะการตีกลองท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ V-8 ที่ดังกระหึ่มและการต่อสู้บนท้องถนนพีเพิล อีตเตอร์ และบุลเล็ต ฟาร์เมอร์ ที่รับบทโดยจอห์น โฮเวิร์ด และริชาร์ด คาร์เตอร์ตามลำดับ นำแก็งค์ของตนสู่สงครามบนท้องถนนท่ามกลางพายุเฮอร์ริเคนของเปลวไฟและห่ากระสุน พีเพิล อีตเตอร์ ที่ออกแบบโดยแม็คคาร์ธีย์เป็นสัญลักษณ์ของความล้นเกินและคุณสมบัติที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์ผู้มีอารยธรรม “ผมร่างภาพเป็นรูปชายร่างใหญ่ในชุดสูท ลายทางซอมซ่อของพวกนายทุน เขามีแผลโรคเรื้อนสาหัสที่จมูกและใส่จมูกปลอมเพื่อปกปิดมันไว้” แม็คคาร์ธีย์เล่า “เขาดูน่าขวัญผวา ดังนั้นจอร์จจึงตั้งชื่อเขาได้อย่างเหมาะสมว่าพีเพิล อีตเตอร์”ในชุดเทรนช์โค้ตที่เต็มไปด้วยอาวุธและเครื่องสวมศีรษะที่ทำมาจากกระสุน แม็คคาร์ธีย์มองว่าบุลเล็ตฟาร์เมอร์เป็น “ผู้ผลิตและผู้ค้าอาวุธที่เพี้ยนพิลึกและสติไม่ค่อยดี”ภารกิจในการค้นหาสถานที่เพื่อจัดฉากสงครามบนท้องถนนในหนังเรื่องนี้ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งานสร้าง ทีมงานมีเงื่อนไขเบื้องต้นอยู่บ้างในการหาสถานที่ถ่ายทำ เช่น พื้นราบ พื้นทราย มีพุ่มไม้ขึ้นประปราย และหน้าผาชัน รวมถึงฐานที่ตั้งซึ่งสามารถรองรับโครงสร้างพื้นฐานของกองถ่ายได้ โวเทนและกิ๊บสันตระเวนไปรอบโลกเพื่อมองหาส่วนผสมที่ลงตัวทั้งในอเมริกาใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมายังโบรคเคนฮิลล์ในพื้นที่ห่างไกลของออสเตรเลีย ที่ซึ่งโวเทนเรียกว่า “ที่สิงสู่ของแมดแม็กซ์” “ตอนที่จอร์จมาสำรวจที่นี่ มันเป็นครั้งแรกที่เขากลับมานับตั้งแต่ทำภาค ‘The Road Warrior’” เขาเล่าแต่หลังจากเกิดฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ในช่วงสองปี สถานที่ดังกล่าวก็ไม่ได้มีอยู่ในออสเตรเลียอีกต่อไป “เราต้องหาสถานที่ถ่ายทำที่ไม่มีฝนตกเลย” มิลเลอร์กล่าว “ที่นั่นก็คือนามิเบีย” ใกล้ปลายด้านใต้ของแอฟริกา นามิเบียตั้งอยู่ขวางลมหนาวซึ่งมาจากทวีปแอนตาร์กติกาและความร้อนที่แผ่มาจากทะเลทรายในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดภูมิอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ที่เหมาะกับเวสต์แลนด์ Swakopmund บนชายฝั่งสเกเลตัน เป็นศูนย์กลางที่เหมาะกับงานสร้างหนังสเกลใหญ่ และทะเลทรายนามิบอันกว้างใหญ่ก็ช่วยให้ทีมงานได้ภาพที่หลากหลายและฉากที่ไม่จำกัดในการสร้างสงครามบนท้องถนนขึ้นมา “ไม่มีอะไรอยู่เลย” มิลเลอร์กล่าว “มีแค่ทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่งดงามซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับโลกที่เราพยายามสร้างขึ้นมา”ทางกองถ่ายจึงได้เตรียมตัวแยกชิ้นส่วน เก็บอุปกรณ์ และจัดส่งองค์ประกอบทั้งหมดที่ใช้ในงานกองถ่ายขนาดใหญ่ รวมถึงยานพาหนะ 150 คัน จากฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียไปยังฝั่งตะวันตกของแอฟริกา ขณะที่เวสต์แลนด์ได้รับการสร้างขึ้นในนามิเบีย กิ๊บสันก็ได้สร้างซิตาเดลขึ้นจากฉากต่างๆ ที่สร้างขึ้นในนามิเบีย ซิดนีย์ และเคปทาวน์ในแอฟริกาใต้ “ในประวัติศาสตร์มีซิตาเดลมาตลอด” เขากล่าว “มีป้อมปราการแหล่งสุดท้ายเหลืออยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงมีโอกาสในการจัดการให้มันกลายเป็นสังคมแนวตั้งในระบบเผด็จการศักดินา”หอรูปจอมปลวกของซิตาเดลและทิวทัศน์โดยรอบได้รับการสร้างขึ้นด้วยวิธีทางดิจิตัลโดยผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ แจ็กสันและทีมงาน “กำแพงหินได้แบบมาจากบลูเมาน์เทนส์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของซิดนีย์” แจ็กสันเผย “เราขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูใกล้ๆ หน้าผาใหญ่พวกนั้นและถ่ายรูปที่เน้นรายละเอียดและความคมชัดสูงมามากมาย จากนั้นด้วยการใช้โปรแกรม PhotoScan เราก็เปลี่ยนภาพนิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นส่วนประกอบของกำแพงที่สร้างขึ้นด้วยซีจี ซึ่งเราสามารถตัดต่อและโค้งงอให้กลายเป็นรูปทรงของซิตาเดล วิธีนี้ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดูสมจริงคล้ายภาพถ่ายมาก”ฐานของซิตาเดลส่วนหนึ่งสร้างขึ้นจากหินปลอมและทรายจริง พร้อมด้วยบ่อลึกและกำแพง ถนนและสันเขาที่ตกแต่งขึ้นเพื่อนำไปใส่ลงในสภาพแวดล้อมที่สร้างด้วยซีจี ปล่องหินซึ่งมีหอคอยสามแห่งนี้ได้รับการออกแบบและใส่ลงไปในเวสต์แลนด์แบบดิจิตัลโดยผู้กำกับฝ่ายศิลป์วิชวลเอฟเฟ็กต์ เดวิด เนลสันฉากภายในซิตาเดลแทนพื้นที่และระดับความสำคัญต่างๆ ในสังคม ตั้งแต่พื้นที่ของคนงานไปจนถึงรังซ่อนตัวของอิมมอร์แทนที่มีชื่อว่าไบโอโดม รวมไปถึงห้องมุขและระเบียงยื่นที่เขาปล่อยอะควาโคลาให้ฝูงชนเป็นบางครั้งคราว สัญลักษณ์ของอิมมอร์แทน หัวกะโหลกในพวงมาลัยที่ติดไฟเป็นการรวมรถและความตายเข้าด้วยกัน มันได้รับการออกแบบโดยปีเตอร์ พาวด์ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏซ้ำในรถวอร์ริก, นักซ์ คาร์ และดูฟ แวกอน เมื่อเขาพัฒนาแบบเบื้องต้นให้ยานพาหนะแต่ละคัน ปากที่กำลังหาวและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นได้ถูกสลักลงไปยังระเบียงซิตาเดลเพื่อให้รูปลักษณ์ของอิมมอร์แทนโดดเด่นชัดเจนมากยิ่งขึ้น จุดที่มันปรากฏมากที่สุดคือพวงมาลัย หรือ ‘กุญแจ’ สู่กองรบของอิมมอร์แทน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฉากแท่นบูชาที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นทั้งวิหารให้แก่อิมมอร์แทนและเพื่อคารวะต่อผู้ที่เสียชีวิตในสนามรบอันเกรียงไกร ติดกันกับแท่นบูชาคือธนาคารเลือดซึ่งเป็นส่วนผสมของโรงพยาบาลเฉพาะกิจกับคอกเลี้ยงคนที่เป็นถุงเลือด และเวิร์คช็อพที่พวกวอร์บอยใช้สร้างเครื่องมือและอาวุธ ฉากอื่นๆ ได้แก่ โรงช่าง สวนพอนนิกซ์ ทางระบายน้ำ ห้องคนรีดนม ห้องเครื่องกว้าน ซึ่งมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยเหล็กกล้า ด้วยแกนขนาดใหญ่ที่ใช้พลังคนคอยยกรถบรรทุก คลังแสง และเศษซากขึ้นมาจากพื้นที่เวสต์แลนด์โดยรอบ โพรงอุโมงค์และสุสานที่แม็กซ์พยายามหลบหนีและถูกจับตัวกลับมาได้ก็ถูกสร้างขึ้น โดยเริ่มจากห้องขัง ซึ่งเป็นฝันร้ายของช่างเหล็กว่าด้วยการทรมานและศิลปะบนร่างกาย เมื่อแอ็คชั่นออกไปนอกบริเวณของซิตาเดล ทีมออกแบบก็มีโอกาสได้สร้างชนเผ่าสามเผ่าที่ได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของเวสต์แลนด์ ชนเผ่าแรกปรากฏตัวออกมาจากใต้ผืนดิน พวกบัซซาร์ดเป็นนักล่าเศษซากที่กวาดเอาของเหลือเพื่อหาเศษโลหะและอาวุธ เป็นผีดิบคล้ายมัมมี่ที่มีผ้าพันแผล ผ้าปิดปาก และแว่นกันลม ผู้มอบความตายจากเบื้องบนมากกว่าเบื้องล่างก็คือกลุ่มร็อคไรเดอร์ซึ่งซุ่มอยู่ตามผาชันอันน่าหวั่นเกรงที่รถวอร์ริกต้องเดินทางผ่าน โดยเป็นฉากที่ถ่ายทำกันที่หุบเขาของแม่น้ำสวาค็อพในนามิเบีย “หมาไฮยีน่าบนมอเตอร์ไซค์” ซึ่งสวมหน้ากากตามที่กิ๊บสันเรียกนั้น โจมตีจากด้านข้างและด้านบนของเชิงผาชันด้วยรถมอเตอร์ไซค์แต่งแบบออฟโรด กิ๊บสันและฝ่ายศิลป์สร้างทางลาดและทางชันคดเคี้ยวเพื่อยกระดับการบังคับรถของชนเผ่านี้ ส่วนฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ของแจ็กสันก็สร้างกำแพงเชิงผาเพื่อให้มันดูโดดเด่นยิ่งขึ้นอีก “ระบบการโจมตีของร็อคไรเดอร์มาจากการใช้ชีวิตอยู่บนที่สูงและสามารถขึ้นลงตามเชิงผาได้ด้วยทักษะที่ต้านแรงโน้มถ่วง” เขาระบุเพื่อค้นหาทีมที่สามารถแสดงทักษะของร็อคไรเดอร์ในการบังคับรถได้อย่างเชี่ยวชาญ นอร์ริสได้ค้นหานอกแวดวงสตันท์จนได้แชมป์รถมอเตอร์ครอสห้าสมัยและโค้ชการขี่แบบฟรีสไตล์ชั้นนำชาวออสเตรเลีย สตีเฟน กัลล์ มาช่วยรวบรวมทีมนักขี่ฟรีสไตล์ผู้เชี่ยวชาญ นอร์ริสกล่าวว่า “เราต้องการสร้างแอ็คชั่นที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน และสตีเฟนก็คร่ำหวอดในวงการของนักแข่งรถมอเตอร์ครอสและนักขี่แบบฟรีสไตล์ สิ่งที่คนเหล่านี้แสดงออกมาในหนังล้ำหน้าเหนือความคาดหมาย มันน่าทึ่งมากครับ”มิตเชลล์เสริมว่าแอ็คชั่นมอเตอร์ไซค์ในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ด้วยทักษะของผู้ประสานงานด้านอุปกรณ์และผู้ประสานงานสตันท์กองสอง เคียร์ เบค “นักขี่มอเตอร์ไซค์ต้องพุ่งตัวผ่านพื้นที่ซึ่งสุ่มเสี่ยง แต่เคียร์ก็ได้จัดการติดตั้งตาข่ายเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย” นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์ยังเป็นยานพาหนะของพวกวิวาลินี เผ่าพันธุ์สุดแสบของนักรบหญิงที่เอาชีวิตรอดบนผืนทรายอันแห้งแล้งสุดขอบโลก ซึ่งใช้สถานที่ถ่ายทำเป็นพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสวาค็อพและอ่าววอลวิสในนามิเบีย พวกเธอแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากตัวละครที่แสดงสถานะของตนในซิตาเดล พวกวูวาลินีสวมเสื้อผ้าที่ทำขึ้นเพื่อการดำรงชีพอันโหดร้ายในเวสต์แลนด์ “พวกเธอมีชุดที่ปกคลุมร่างกายแต่ส่วนหนึ่งของมันสามารถกางออกบนโครงที่ทำจากคันเบ็ดเพื่อให้ร่มเงาขณะขี่รถอยู่ในทะเลทรายหรือเป็นที่พักในยามกลางคืน” กิ๊บสันอธิบาย เผ่าวูวาลินีเป็นร่องรอยสุดท้ายที่เหลืออยู่ของสังคมผู้หญิงเป็นใหญ่ และได้รับการถ่ายทอดโดย เมแกน เกล ในบท เดอะ วัลคีรี และเมลิสซา แจฟเฟอร์ ในบท เดอะ คีพเปอร์ ออฟ เดอะ ซีดส์ ร่วมด้วยเมลิตา จูริซิค, กิลเลียน โจนส์, จอย สมิธเธอร์ส, อังตัวเนตต์ เคลเลอร์แมน และคริสตินา ค็อช ลาธูริสเรียกเผ่าวูวาลินีว่าเป็น “กลุ่มคนที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะนำเอาความเป็นปกติกลับมาสู่โลกใบนี้” สำหรับเธอรอน การนำเสนอเผ่าอย่างวูวาลินีเผยให้เห็นภาพลักษณ์หลายมิติของผู้หญิงที่มิลเลอร์นำเสนอใน “Mad Max: Fury Road” “จอร์จได้สร้างพลังขับเคลื่อนอันน่าหลงใหลให้ตัวละครหญิงในเรื่องนี้” เธอกล่าว “การให้หญิงสาวเหล่านี้หนีไปกับฟูริโอซาและพบผู้หญิงอายุหกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ ที่เข้าร่วมสงครามบนท้องถนนด้วยรถมอเตอร์ไซค์ เท่ากับว่าเขาได้สำรวจผู้หญิงในโลกใบนี้จากทุกๆ ช่วงอายุ และมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างนี้บ่อยนักในหนังแอ็คชั่นแบบเต็มสูบ” ในระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไป พวกเธอก็จะได้ทดสอบรถมอเตอร์ไซค์และความมุ่งมั่นกับกองรบที่อิมมอร์แทน โจได้นำออกมา …ชาร์จพลังความโกรธเกรี้ยว“เราไม่ใช่สิ่งของ!” – เดอะ ไวฟ์สรถ รถบรรทุก และมอเตอร์ไซค์เกือบ 150 คันที่ผลิตขึ้นด้วยมือเพื่อ “Mad Max: Fury Road” เป็นตัวละครที่แท้จริงในหนังเรื่องนี้ บางส่วนออกแบบโดยหัวหน้า “เกียร์เฮด” และนักวาดสตอรีบอร์ด ปีเตอร์ พาวด์ และทั้งหมดสร้างขึ้นโดยหัวหน้า “เรฟเฮด” คอลิน กิ๊บสัน ฝูงยานยนต์อันทรงพลังในหนังเรื่องนี้เป็นยานพาหนะที่ใช้งานได้จริงและสร้างขึ้นจากซากวัสดุ พวกมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อให้สอดคล้องกับเหตุผลภายในเรื่องและบทบาทของแต่ละคันในฉากแอ็คชั่นเท่านั้น แต่ยังต้องทนทานต่อการขับขี่นานหลายเดือนในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของนามิเบียด้วย “ในทางเทคนิคแล้ว สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศในทะเลทรายก่อให้เกิดปัญหาเชิงลอจิสติกส์ (เครื่องยนต์ร้อนจัด ระบบกันสะเทือนเสื่อมสภาพ ปั๊มสุญญากาศอุดตัน ฯลฯ) แต่อุปสรรคเหล่านั้นเองที่ช่วยเพิ่มความงามและเสริมแต่งสภาพของฉากแอ็คชั่นซึ่งมีฝุ่นฟุ้งกระจาย ทรายกระเด็น และรถที่ขนย้ายทางอากาศ” กิ๊บสันกล่าวกฎขั้นต้นของมิลเลอร์ได้นำมาใช้กับเครื่องจักรสังหารเหล่านี้ด้วย “หลังโลกล่มสลายมาได้สี่สิบห้าปี ยานพาหนะซึ่งน่าจะเหลือรอดอยู่ได้มากที่สุดและมีโอกาสที่จะใช้งานได้ก็คือรถที่ไม่มีไมโครโพรเซสเซอร์ ชิพคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีที่ยุ่งยากอย่างที่มีอยู่ในรถทุกวันนี้” มิลเลอร์ตั้งข้อสังเกต “รถมัสเซิลคาร์และรถดัดแปลงรุ่นเก่ามีตัวถังที่แข็งแรงกว่า และไม่ได้เพรียวบางตามหลักแอโรไดนามิกเท่าทุกวันนี้ และการใช้ยานพาหนะจากยุค 80 ย้อนมาจนถึงยุค 40 ก็ทำให้พวกมันมีสไตล์ที่เฉพาะตัวด้วย” เมื่อเทียบกับยานพาหนะคันอื่นๆ ในหนัง ความงามแบบนี้สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดที่สุดในรถอินเตอร์เซพเตอร์ รถ XB Ford Falcon Coupe ปี 1974 สีดำอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของแม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี “ในหนังคาวบอย พวกคาวบอยจะมีม้าตัวโปรด แม็กซ์ก็มีอินเตอร์เซพเตอร์ของเขาเช่นกัน" มิลเลอร์กล่าว เช่นเดียวกับแม็กซ์ เราพบว่าอินเตอร์เซพเตอร์เป็นผู้รอดชีวิตที่บาดเจ็บในเวสต์แลนด์ ถูกหลอกหลอนและหล่อหลอมขึ้นมาใหม่จากอดีตในสงครามบนท้องถนน แม้ว่าเครื่องยนต์ที่ผ่านสมรภูมิมามากแต่ยังคงความเย้ายวนใจนี้จะพบจุดจบในเปลวเพลิงไปแล้วใน “The Road Warrior”The Road Warrior แต่เราก็ได้กลับมาพบมันอีกใน “Mad Max: Fury Road” ดังที่กิ๊บสันบรรยายไว้ “ตำนานที่อยู่ในโคลนตม ขึ้นสนิมและส่งเสียงครืดคราดหลังผ่านการซ่อมมาหลายต่อหลายครั้งและเหลือชิ้นส่วนเดิมอยู่เพียงน้อยนิด” ที่ซิตาเดล อินเตอร์เซพเตอร์ได้รับการซ่อมแซมและกลับมาใหม่ในรูปโลหะเปลือย อัดอากาศเป็นสองเท่า ยกระดับด้วยการขับเคลื่อนแบบโฟร์วีลไดรฟ์ และติดอาวุธเพื่อพร้อมทำลายล้างในโลกอนาคตที่โหดร้ายยิ่งกว่าเดิม โครงรถแบบคลาสสิกอาจไม่เฉียบเท่าบรรพบุรุษของมันแต่ก็มีความแข็งแกร่งและอันตรายกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย “พวกเขาทำให้มันไปสุดทางมากขึ้น” มิลเลอร์กล่าว “องค์ประกอบทั้งหมดของอินเตอร์เซพเตอร์เป็นสีดำ แต่พวกวอร์บอยตกแต่งมันให้เป็นสีเงินด้าน ติดอาวุธให้มีอำนาจการยิงได้มากขึ้น และติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใหญ่ยักษ์”ยานพาหนะที่มีมูลค่าสูงสุดบนเนินทรายแห่งนี้ก็คือรถวอร์ริกของฟูริโอซา มันเป็นที่เลื่องลือ น่าเกรงขาม และไม่อาจเจาะทำลายได้เช่นเดียวกับผู้ขับ “วอร์ริกเป็นจุดโดดเด่นในหนังเรื่องนี้ดังนั้นเราจึงใช้เวลาในการออกแบบมันอยู่นานทีเดียว” มิลเลอร์กล่าว “มันเปื้อนไปด้วยน้ำมันดินและยางมะตอย พวกเขาติดหนามและโครงกระดูกไว้บนนั้นเพื่อขับไล่ผู้คนออกไปและสร้างความหวาดกลัวให้ใครก็ตามที่คิดจะเข้ามาโจมตี มันจะต้องใช้งานได้ดีขณะเดียวกันก็ต้องน่าจดจำด้วย นอกเหนือจากตัวละครมนุษย์แล้ว วอร์ริกก็น่าจะเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดในหนังเรื่องนี้” จากจินตนาการของปีเตอร์ พาวด์ รถวอร์ริกได้รับการสร้างขึ้นจากรถ Tatra ของเชคโกสโลวาเกียและรถ Chev Fleetmaster ดัดแปลงในรูปแบบรถบรรทุก 18 ล้อที่ขับเคลื่อนหกล้อ ด้วยกำลังขับของเครื่องยนต์ทวิน V8 ที่ลากน้ำหนักบรรทุกเป็นสองเท่าจากถังน้ำมันขนาดใหญ่และรถน้ำมันที่พ่วงมาด้วย รถเต่าโฟล์กสวาเกนและโครงส่วนหน้าของรถบรรทุกเชื่อมติดกับตัวรถเพื่อทำหน้าที่เป็นป้อมเคลื่อนที่ของพวกวอร์บอย ซึ่งติดตามรถวอร์ริกไปทั่วทะเลทรายในกองรถและมอเตอร์ไซค์คุ้มกันของซิตาเดลด้วย ด้านในของวอร์ริกสะท้อนนิสัยช่างวางแผนและสัญชาตญาณของผู้ขับ ตั้งแต่ชั้นวางเครื่องมือต่างๆ และอาวุธลับ ไปจนถึงพวงมาลัยซึ่งใช้ลวดทำเป็นรูปหัวกระโหลกซึ่งนับเป็นการต่อต้านสัญลักษณ์ประจำตัวของอิมมอร์แทนตัววอร์ลอร์ดเองนั่งอยู่บนที่นั่งสูงหลังพวงมาลัยของรถกิกะฮอร์สอันโดดเด่น รถซึ่งเป็นภาพฝันเพ้อคลั่งของความสุดขีด ตัณหา และสัญชาตญาณดิบ มิลเลอร์บรรยายถึงกิกะฮอร์สว่าเป็น “คาดิลแลคขั้นสุดขั้ว” ภัยคุกคามแบบคูณสองที่รับพลังอัดฉีดจากเชื้อเพลิง โดยเป็นการจับคู่รถ Cadillac Devilles ปี 1959 สองคันซึ่งถูกผ่าแยกออกจากกัน ถ่างให้กว้างออก และวางซ้อนกันขึ้นไปข้างบนให้ยื่นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าจากช่วงลำตัวที่มีใบมีดไปจนถึงครีบหางที่ชี้สูง สัตว์ป่าตัวนี้รับกำลังผ่านกระปุกเกียร์ปรับแต่งที่ผสมผสานเครื่องทวิน V16 เข้ากับล้อหลังคู่สูงสองเมตร “ติดอาวุธด้วยฉมวกของนักล่าปลาวาฬและเครื่องพ่นไฟของปีศาจ กิกะฮอร์สจึงน่าจะเป็นสิ่งแรกที่คุณได้ยินและสิ่งสุดท้ายที่คุณเห็นบนถนนโลกันตร์” กิ๊บสันยิ้ม นักซ์นำตัวเขาเข้าสู่สงครามบนท้องถนนด้วยรถ Chevrolet คูเป้ห้าประตูที่ทรงพลัง โดยมีแม็กซ์ถูกมัดติดอยู่กับฝากระโปรงและมีหอกธันเดอร์สติ๊กอยู่ด้านหลัง พร้อมที่จะนำพาทั้งหมดไปสู่ความตายอันรุ่งโรจน์ นักซ์แสดงความเคารพต่ออิมมอร์แทนบนพวงมาลัยและฝากระโปรงรถ “แต่พระเจ้าที่แท้จริงของเขาคือเครื่องยนต์ ส่วนโบสถ์วิหารนั้นคือรถ” กิ๊บสันกล่าวรถศึกพลังซูเปอร์เทอร์โบและเร่งเครื่องด้วยไนตรัสของนักซ์สร้างขึ้นจากโครงเหล็กมันวาว ติดตั้งเครื่อง V8 พร้อมคอยล์ ล้อเอียง และท่อไอเสียที่แผ่เป็นรูปปีก เขาตกแต่งภายในรถด้วยของเล่นและวัตถุสารพัดอย่างที่เขาพบในช่วงชีวิตอันสั้นของเขา ตั้งแต่คันเกียร์ลูกตาไปจนถึงพวงมาลัยรูปหน้าตุ๊กตา ที่ขั้วตรงกันข้ามกับรถของนักซ์ก็คือบิ๊กฟุต รถสุดโหดของริกตัส อีเรกตัส ที่รับบทโดยนาธาน โจนส์ “ริกตัสเป็นลูกชายคนโตของอิมมอร์แทน และต้องการยานพาหนะที่เหมาะกับเด็กในร่างผู้ใหญ่สูงเจ็ดฟุต” มิลเลอร์ให้ความเห็น “และแน่นอน มันต้องติดฉมวกและอาวุธอื่นๆ ไว้ด้วย”บิ๊กฟุตเป็นรถ Fargo รุ่นทศวรรษ 1940 ที่ได้รับการดัดแปลงใหม่ ตกแต่งด้วยฉมวกที่ด้านหลังพร้อมด้วยปืนกลสายพาน ภายในโครงเหล็กที่ใช้งานมาอย่างหนัก เครื่อง V8 ซูเปอร์ชาร์จที่ควบคุมด้วยเกียร์ออโต้เทอร์โบ 400 ช่วยขับเคลื่อนยาง Terra ที่ใหญ่อย่างเหลือเชื่อด้วยขนาด 66 นิ้วผ่านชุดลดรอบเกียร์แพลเน็ตทารีในเพลาที่ทนทานจากเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่เคยใช้งานทางการทหาร ด้วยระบบรองรับขนาดสี่ฟุตและความจุเครื่องยนต์เกือบ 600 ลูกบาศก์นิ้ว กิ๊บสันกล่าวว่าบิ๊กฟุต “เป็นยานพาหนะเพียงคันเดียวซึ่งสามารถไต่เขาที่ถล่มลงมาได้” จำนวนมหาศาลของยานพาหนะที่ตระเวนไปทั่วเวสต์แลนด์นั้นคงจะเทียบได้ก็แต่กับประสิทธิภาพและความหลากหลายของตัวรถเท่านั้น มอเตอร์ไซค์ Yamaha ขับเคี่ยวอยู่เคียงข้างฝูง Caltrop ที่เสริมพลังเครื่องยนต์และติดอาวุธ เพื่อขนบริวารผู้คุ้มกันส่วนตัวของอิมมอร์แทน สำหรับการต่อสู้แบบออฟโร้ดก็มีรถวิบากทุกรูปแบบและทุกขนาด รวมถึงยานพาหนะอื่นๆ ของซิตาเดล ไม่ว่าจะเป็นรถพ่นไฟ รถบรรทุก Mack และรถบรรทุกรถยนต์ที่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้เมื่อจำเป็น ในโลกของนักรบบนท้องถนน มีเครื่องจักรที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการขนส่ง การต่อสู้ หรือความเร็ว แต่มีเพียงคันเดียวเท่านั้นที่สร้างขึ้นมาเพื่อบรรเลงเพลงร็อค เครื่องจักรที่ช่วยข่มขวัญและปลุกระดมอย่างดูฟ แวกอน เป็นสุดยอดรถแห่งเสียงที่คอยกระตุ้นให้แก็งค์วอร์บอยของอิมมอร์แทน โจ เกิดความฮึกเหิมพร้อมพลีชีพขณะที่เครื่องยนต์ V8 ซูเปอร์ชาร์จถูกเร่งเต็มกำลังเพื่อกระโจนเข้าสู่สนามรบ เวทีเคลื่อนที่ในรูปแบบโครงเหล็กใหญ่ที่มีลำโพงยักษ์ซ้อนเป็นกองสูง ระบบพีเอ และท่อปรับอากาศที่ดัดแปลงใหม่เพื่อส่งพลังจังหวะกลองอันเร่งเร้าของนักตีกลองไทโกะไปสู่ทะเลทราย ดูฟ วอรริเออร์ แกว่งตัวจากเชือกบันจี้ที่ผูกอยู่ด้านหน้าขณะที่เขาบรรเลงเพลงเมทัลและพ่นไฟจากกีตาร์ไฟฟ้าสองคอผสมเครื่องพ่นไฟ เมื่ออิมมอร์แทน โจ นำแก็งค์ของเขาออกสู่สงคราม เขาต้องการเชื้อเพลิงทั้งหมดที่พีเพิลอีตเตอร์สามารถกลั่นและขนได้จากผืนแผ่นดินอันร้อนระอุของแก็สทาวน์ ยานพาหนะประจำตัวของผู้ปกครองแก็สทาวน์คือรถลิโม Mercedes คันยาวพร้อมหน้าต่างโปร่งลายตารางอยู่บนหอกลั่นแนวนอน ซึ่งกลั่นน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงได้แม้ในเวลาที่รถคันนี้ตระเวนไปทั่วทะเลทราย ทุกตารางนิ้วของพีเพิลอีตเตอร์สะท้อนการบริโภคและความล้นเกิน ตั้งแต่แท็งค์น้ำมันขนาดใหญ่ไปจนถึงตะแกรงหน้าหม้อรถที่ตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร มิลเลอร์กล่าวว่า “พีเพิลอีตเตอร์เป็นเหมือนนักบัญชีให้อิมมอร์แทน โจ ดังนั้นเราจึงคิดว่าถ้าเขามีรถลิมูซีนยาวของ Mercedes เขาก็คงตกแต่งมันด้วยตะแกรงรถที่วิจิตรหรูหราเท่าที่เขาจะหาได้” ไม่ไกลจากกลุ่มควันเสียของพีเพิลอีตเตอร์ก็คือเหล่ารถพ่นไฟ รวมไปถึงรถเต่า Volkswagen เครื่องยนต์ V8 ซูเปอร์ชาร์จ หุ้มด้วยผิวเงินเรียบซึ่งสอดคล้องกับหัวรูปโดมของพีเพิลอีตเตอร์ และมีท่อไอเสียสามท่อ เครื่องพ่นไฟถังคู่ รวมถึงถังเก็บน้ำมันที่เลียนแบบตามท่อ ถัง คอยล์ และถังควบแน่นของพีเพิลอีตเตอร์ ถ้าสงครามบนท้องถนนเกิดขึ้นบนที่ราบกว้างใหญ่ มันอาจเป็นเกมของใครก็ได้ แต่ในเวสต์แลนด์อันแปรปรวนด้วยความเสี่ยงจากพายุพิษ หลุมทราย และหนองบึงที่พบได้ทุกหนทุกแห่ง บุลเล็ต ฟาร์เมอร์จึงเปล่งประกายขึ้นมา “ในการเล่าเรื่อง จอร์จสอดแทรกจุดเว้นช่วงระหว่างการไล่ล่าได้ดีมาก หนึ่งในนั้นก็คือบึงไนต์บ็อกซึ่งทำให้รถจำนวนมากไปต่อไปไม่ได้” กิ๊บสันเล่า “แล้วจะมีอะไรผ่านหนองบึงไปได้ล่ะนอกเสียจากรถถัง” ด้วยโครงรถ Valiant รุ่นทศวรรษ 1970 เชื่อมกับตัวรถถัง Ripsaw ที่ผลิตในสหรัฐ ยานพาหนะโจมตีประจำตัวของบุลเล็ต ฟาร์เมอร์ ซึ่งตั้งชื่อได้อย่างขัดแย้งว่าพีซเมกเกอร์ เป็นการจับคู่กับปืนกล ตีนตะขาบ และตอร์ปิโด โดยอาศัยพลังจากเครื่อง Merlin V8 ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ตกแต่งด้วยชิ้นส่วนเครื่องบิน กระสุนที่ทำเป็นรูปปากปลาฉลาม และเกราะขนาดยักษ์ที่เหมาะกับนักค้าอาวุธของอิมมอร์แทน โจ เครื่องจักรสงครามที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ขับเคลื่อนได้ดี และโดดเด่นสะดุดตานี้ สามารถทำความเร็วได้กว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและไม่หวั่นต่อสภาพพื้นที่ซึ่งอันตราย ขบวนคุ้มกันของบุลเล็ตฟาร์เมอร์ก็อันตรายไม่แพ้กันขณะที่พวกมันเก็บของเสียด้วยรถกรงเล็บอันน่าเกรงขามที่ออกแบบมาเพื่อทิ่มแทง บดขยี้ และที่ขาดไม่ได้คือการตะครุบเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลัง รถเหล่านี้ได้รับการดัดแปลงจากยานพาหนะมากมายรวมถึง International Ute และรถลาก Ford F250 “พวกมันมีอุปกรณ์ด้านหลังรถที่เหมือนกับคราดหรือสมอขนาดยักษ์ที่ใช้ปล่อยให้ขุดลงไปในดินเพื่อสร้างแรงโต้กลับ” นักวาดสตอรีบอร์ดหลัก มาร์ค เซ็กส์ตัน อธิบาย “แล้วพวกเขาก็ใช้แรงของกรงเล็บที่ขุดลงไปในดินเพื่อชะลอยานพาหนะฝั่งตรงข้าม” หนึ่งในรถติดตามที่ติดอาวุธหนักเหล่านี้ก็คือพลาวบอย รถแวกอน EH ที่ตั้งอยู่บนโครงแบบออฟโรดและติดตั้งฉมวกและเครื่องไถแบบไฮดรอลิกเพื่อควานหาของเหลือจากสนามรบไม่ว่าจะเป็นโลหะหรือเนื้อมนุษย์ชนเผ่าที่ปรากฏตัวในหนังก็มียานพาหนะเฉพาะของตัวเองเช่นกัน เผ่าบัซซาร์ดปรากฏตัวขึ้นมาจากพื้นดินที่แตกระแหงในรถเก่าที่มีหนามแหลมและ “ยานแม่” อันเทอะทะของพวกมันอย่างบัซซาร์ด เอ็กซ์คาเวเตอร์ เครื่องจักรควานหาซากเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการบดขยี้ เจาะทำลาย ฉีกทึ้ง และขุดโพรงผ่านทุกสิ่งที่เข้ามาขวางทาง บัซซาร์ด เอ็กซ์คาเวเตอร์ สร้างจากรถแทร็กเตอร์ M.A.N. 6 X 6 เสียบด้วยหนามแหลม 1,757 แท่ง ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับหนามที่นับได้บนตัว Tasmanian Echidna ตัวกินมดในออสเตรเลียที่เป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าสัตว์ร้ายบนท้องถนนตัวนี้ ในขณะที่บัซซาร์ดคันอื่นๆ ได้รับหนามเหล็ก 5,000 แท่งที่ผลิตด้วยมือจากแผงรถยนต์รีไซเคิลเพื่อหนังเรื่องนี้ ด้วยความคล่องแคล่วราวกับแพะภูเขา พวกร็อคไรเดอร์ไต่ไปตามหน้าผาด้วยรถมอเตอร์ไซค์ Gas Gas และ Yamaha ที่ดัดแปลงมาอย่างดี ส่วนพวกวูวาลินีก็ได้รวบรวมฝูงมอเตอร์ไซค์ของตนเองซึ่งทั้งแข็งแกร่ง ใช้งานได้หลากหลาย และยืดหยุ่นเช่นเดียวกับพวกเธอ ด้วยการดัดแปลงจากมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง ตัวเลือกของวูวาลินีพาเราย้อนกลับไปสู่ยุคทองของมอเตอร์ไซค์ โดยเบาะหนังได้รับการตกแต่งด้วยรายละเอียดที่ดูเป็นผู้หญิงและใช้สไตล์แบบชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งกิ๊บสันกล่าวว่า “ช่วยมอบความตื่นเต้นในการขับขี่ครั้งสุดท้ายก่อนที่แม่สาวซิ่งสุดเก๋าจะพาคุณทะยานไปในพริบตา” ในที่สุดหลังจากใช้เวลานับทศวรรษในการออกแบบ การสร้าง การปรับรายละเอียด และการตกแต่งขั้นสุดท้าย เครื่องจักรสงคราม 150 คันในหนังเรื่องนี้ก็ได้แล่นเข้าสู่สงครามบนท้องถนนของจริงเมื่อต้องผ่านการทดสอบขั้นสูงสุดบนผืนทรายของทะเลทรายนามิบ หลายคันต้องเผชิญกับพายุและไม่ใช่ทุกคันที่รอดมาได้ แต่ทุกคันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมศักดิ์ศรี “รถทุกคันได้ออกไปแล่นในฉากใหญ่ๆ หลายฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนต้น” มิลเลอร์กล่าว “แล้วจำนวนก็ค่อยๆ ลดลงไป มันช่วยไม่ได้ครับ เพราะนี่คือสงคราม”สร้างสงครามบนท้องถนน“ข้างนอกนี่มันโหดนะ” – ฟูริโอซาก่อนการถ่ายทำหลักจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการบนที่ราบของทะเลทรายนามิบ มิลเลอร์ก็ได้สั่งรวมกองถ่ายเล็กที่ภูเขารอสซิงเพื่อถ่ายทำฉากเปิดของหนัง ซึ่งนำเสนอแม็กซ์ในรูปของคนพเนจรกลางทะเลทรายก่อนที่จะลากเขาเข้าไปสู่การปะทะอย่างรุนแรงด้วยผลจากหอกธันเดอร์สติ๊กของวอร์บอยกาย นอร์ริส นั่งพร้อมอยู่ในที่นั่งคนขับของอินเตอร์เซพเตอร์ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในระยะเวลากว่า 30 ปี “กายอายุแค่ 21 ตอนที่เราทำ ‘The Road Warrior’ และแทบทุกครั้งที่คุณเห็นใครอยู่ข้างในนั้น นั่นก็เป็นเขา” มิลเลอร์เผย “ในหนังเรื่องนั้น เขาเล่นสตันท์แบบที่เรียกว่าทีโบนซึ่งในตอนนี้มีชื่อเสียงทีเดียว หลังผ่านเวลามาหลายปี เขาอยากนำการแสดงสตันท์นั้นไปให้สุดขีดมากยิ่งขึ้น และหมุนรถมากกว่าที่ใครก็ตามเคยทำมาก่อน”ปัญหาเดียวก็คือเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน มิลเลอร์ต้องการให้กล้องนิ่งซึ่งหมายความว่าการหมุนรถอย่างรวดเร็วหลายครั้งนั้นจะต้องหยุดที่หน้ากล้องพอดี นอร์ริสระดมสมองกับแดน โอลิเวอร์และผู้ร่วมควบคุมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ แอนดรูว์ วิลเลียมส์ พวกเขาตัดสินใจประดิษฐ์เครื่องอัดอากาศที่ควบคุมด้วยคันโยกซึ่งมีชื่อเล่นว่าฟลิปเปอร์ในการทำให้อินเตอร์เซพเตอร์หมุน การเล่นฉากสตันท์นี้จะต้องอาศัยจังหวะเวลาและการควบคุมรถที่แม่นยำ ดังนั้นนอร์ริสจึงเสนอตัวที่จะเล่นฉากนี้เอง ท่ามกลางฝุ่นผงที่ปลิวว่อน เขาไม่เพียงนำรถยนต์มาหยุดได้ตรงจุดอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เขาหมุนรถถึงแปดรอบครึ่งอันเป็นสถิติใหม่สำหรับจำนวนรอบการหมุนสูงสุดของการแสดงสตันท์ในภาพยนตร์“The Road Warrior” เป็นหนังใหญ่เรื่องแรกของนอร์ริส และเขายกความดีให้มิลเลอร์ในการสร้างมาตรฐานที่เขานำติดตัวไปด้วยในหนังทุกเรื่องที่ตามมา “ทฤษฎีของผมคือจอร์จเป็นแมดแม็กซ์ และเราได้สัมผัสโลกใบนี้ผ่านตัวละครซึ่งเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของเขา” นอร์ริสกล่าว “เขามองหนังจากมุมมองของผู้ชม และผมคิดว่าเขาต้องการตรึงผู้ชมไว้กับด้านหน้ารถพร้อมกับแม็กซ์ตั้งแต่วินาทีแรก มีภาพอยู่ตรงนั้นทั้งหมดแล้ว งานของผมคือการค้นหาว่าจะทำทุกสิ่งที่จอร์จต้องการให้สำเร็จออกมาได้อย่างไร” การยกขบวนกองถ่าย “Mad Max: Fury Road” ไปตามทะเลทรายในนามิเบียแค่ในแง่ปริมาณอย่างเดียวก็คือเป็นงานหนักแล้ว ที่จุดสูงสุดของการถ่ายทำ กองถ่ายประกอบด้วยคนถึง 1,700 คน โดยมีคนเฉลี่ย 1,000 คนอยู่พร้อมกันในกองถ่ายตลอดเวลา การดำเนินงานทั้งหมดต้องอาศัยรถบรรทุกขนส่งทางทหาร 8 x 8 ของเยอรมันห้าคันเฉพาะแค่การย้ายอุปกรณ์จากสถานที่ถ่ายทำแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง “มันเป็นปิรามิดผู้คนที่ใหญ่โตมากและเราไม่ได้ถ่ายทำอยู่ที่เดียวด้วย” มิตเชลล์อธิบาย “เราต้องย้ายฐานที่ตั้งของเราซึ่งมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลสามสนามเป็นเวลาหกครั้งในช่วง 120 วัน”มิลเลอร์และนอร์ริสเลือกที่ปรึกษาด้านการรบและอาวุธ จอน อีลีส มาร่วมทีม ความรู้ของเขาในแง่กลยุทธ์และกลวิธีทางทหารกลายเป็นสิ่งสำคัญมาก “เขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานและกลายเป็นเหมือนผู้บัญชาการที่คอยควบคุมวอร์ริก” นอร์ริส กล่าว “เราถ่ายทำกันเป็นเดือนๆ และคุยกันแต่เรื่องสงคราม คุณจะโจมตีรถคุ้มกันยังไงในชีวิตจริง คุณจะปกป้องรถหุ้มเกราะอย่างไร และความเชี่ยวชาญของจอห์นก็ได้มาจากการรบในอิรักย้อนกลับไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและไกลกว่านั้น”ในการทำหนังฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ พร้อมด้วยงานสตันท์ระดับนี้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างเห็นได้ชัดที่กองถ่ายของ “Mad Max: Fury Road” เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย ชอน ริกบี เป็นอดีตสตันท์แมนที่เข้าใจกลไกการขับเคลื่อนและกายภาพของหนังแอ็คชั่น เขาคอยดูแลการแสดงสตันท์และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ทั้งหมดซึ่งแทรกอยู่ระหว่างการถ่ายทำในแต่ละวัน เมื่อไม่ได้ขึ้นไปควบคุม Edge Arm ฐานปฏิบัติการของมิลเลอร์ระหว่างการถ่ายทำก็คือรถ “วิดีโอวิลเลจ” เคลื่อนที่ ซึ่ง เซ็บ ซิมพ์สัน ผู้ควบคุมการแยกสัญญาณวิดีโอเป็นผู้ติดตั้ง โดยนำเอาภาพจากกองถ่ายทั้งหมดและกล้องบนยานพาหนะทั้งหมดส่งสัญญาณพร้อมกันมายังหน้าจอที่เรียงรายอยู่ ใน “Mad Max: Fury Road” จอห์น ซีล ทำงานกับกล้องดิจิตัลเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ใช้กลางวันแทนกลางคืนในกล้องสำหรับฉากไนต์บ็อก ซึ่งถ่ายทำกันที่บ่อแยกเกลือในโรงงานเกลือบนอ่าววอลวิส เขาได้เรียนรู้เคล็ดลับใหม่จากผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ แจ็กสัน “พวกเขาทำการทดสอบกันและเสนอให้เราโอเวอร์เอ็กซ์โพสไปสองสต็อพ” ซีลเล่า “มันขัดกับสิ่งที่ทำกันทั่วไปเพราะเรามักถ่ายแบบอันเดอร์เอ็กโพสสองสต็อพให้ได้เอฟเฟ็กต์เปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน แต่เมื่อพรินต์ออกมาแล้ว มันช่วยให้เราได้ภาพที่มืดกว่าโดยไม่มีนอยซ์มากนักในส่วนเงามืด และช่วยให้เราได้เอฟเฟ็กต์คล้ายแสงจันทร์ส่องที่ดูสวยงาม”แม้ว่าฉากสตันท์และฉากขำขันจะได้รับการถ่ายทำในทะเลทรายหลายแห่ง แต่การไล่ล่าอันอลังการของกองรบในหนังเรื่องนี้ถ่ายทำจริงบนพื้นที่กว้างใหญ่ของที่ราบแบลงกีในอ่าวเฮนทีส์ สำหรับเธอรอนแล้ว การได้ร่วมประสบการณ์ความยิ่งใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของมิลเลอร์ทำให้เธอต้องทึ่ง “ในการเป็นนักแสดง คุณมักเตรียมพร้อมรับบางสิ่งที่คุณต้องทำ แต่ในหนังเรื่องนี้ มีบางครั้งที่คุณเห็นสิ่งที่คุณไม่ได้เตรียมตัวไว้มาก่อน” เธอกล่าว “อย่างสตันท์ที่เล่นฉากต่อสู้บนลวดและเสา หรือการได้เห็นการระเบิดจริงขณะที่คุณกำลังขับรถวอร์ริกอยู่ มันน่าทึ่งมากค่ะที่ได้เห็น คุณตระหนักว่าคุณอยู่ในโลกนี้จริงๆ ไม่มีฉากเขียว นี่คือผู้กำกับที่ให้โอกาสคุณได้เข้าไปอยู่ในโลกของหนังจริงๆ ถือเป็นของขวัญที่เยี่ยมมากเลยค่ะ”เมื่อนักแสดงจำเป็นต้องอยู่ที่พวงมาลัยระหว่างฉากที่เน้นแอ็คชั่น ทีมสตันท์ก็จะติดตั้งห้องควบคุมการขับไว้กับยานพาหนะซึ่งช่วยให้สตันท์แมนควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์ ในฉากที่โหดที่สุดฉากหนึ่ง เมื่อรถบัซซาร์ด เอ็กซ์คาเวเตอร์คันมหึมาไถรถของนักซ์ให้ถอยหลังไปบนพื้นทราย ห้องควบคุมการขับจะต้องได้รับการติดตั้งไว้ด้านหลังของรถแทนที่จะเป็นด้านหน้า เพื่อทำเช่นนั้น ล้อจะต้องหมุนจากด้านหลังซึ่งต้องอาศัยการออกแบบและประดิษฐ์กลไกการขับเคลื่อนของรถใหม่โดยทีมสตันท์และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์มิตเชลล์ระบุว่าไม่ว่าแอ็คชั่นนั้นจะต้องการอะไร เป้าหมายก็คือความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ความสมจริงนั้นมาจากการมียานพาหนะ 150 คันอยู่ในทะเลทราย พร้อมด้วยคนนับร้อยๆ ที่มาแสดงทุกๆ วัน คุณจะรู้สึกได้ว่ามันจริงแค่ไหนเมื่อคุณเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าคุณบนจอ”ทว่าก็มีบางครั้งที่มิลเลอร์ต้องการให้ยานพาหนะอยู่นิ่งๆ เพื่อจะได้สื่อสารกับนักแสดงได้ดียิ่งขึ้นระหว่างฉากสำคัญๆ ในส่วนนี้เขามี Sim Trav ซึ่งเป็นเทคนิคที่มิลเลอร์คิดค้นขึ้นเองในการถ่ายทำภาคต่างๆ ของ “Mad Max” ซีลเผยว่า “ตั้งแต่ช่วงต้นๆ จอร์จตระหนักว่าเขาไม่สามารถถ่ายทำรถบรรทุกที่ส่งเสียงกระหึ่มไปตามทะเลทรายพร้อมกับให้แนวทางและกำกับนักแสดงได้ ดังนั้นเขาและดีน เซมลอร์ ซึ่งเป็นคนถ่ายทำหนังภาคก่อนๆ จึงได้ช่วยกันคิดค้น Sim Trav ขึ้นด้วยการลดเฟรมเรต ถ่ายทำแบบแฮนด์เฮลด์ และปล่อยให้กล้องสั่น ในหนังเรื่องนี้ทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์มีไฮดรอลิกและสร้างอุปกรณ์ที่น่าทึ่งออกมา คุณจึงสามารถมันได้เต็มที่จากบนยานพาหนะทุกคัน”ด้วย Sim Trav มิลเลอร์สามารถให้คนจริงอยู่ในรถจริงได้แม้กระทั่งท่ามกลางคลื่นพายุพิษลูกมหึมา แน่ล่ะว่าทอร์นาโดยักษ์ที่พัดเอายานพาหนะลอยขึ้นไปข้างบนนั้นสร้างขึ้นแบบดิจิตัลทั้งหมด “แน่นอนว่าไม่มีทางที่เราจะทำเอฟเฟ็กต์จริงขึ้นมาได้ในช็อตแบบนั้น” แจ็กสันกล่าว ทีมงานของแจ็กสันใช้ภาพนิ่งจากโดรนปีกคงที่ขนาดเล็กและซอฟต์แวร์ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ PhotoScan ในการสร้างแบบจำลองสามมิติที่แสดงพื้นผิวของพื้นที่ในนามิเบีย ด้วยการกำหนดตำแหน่งเส้นทางของยานพาหนะและกล้องด้วย GPS ในแบบจำลองสภาพพื้นที่เหล่านี้ พวกเขาจึงสามารถประสานข้อมูลการเคลื่อนไหว การแสดงจริง และพายุแบบดิจิตัล รวมเข้าเป็นภาพที่สมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียวกัน สุดท้ายแจ็กสันก็ตั้งทีมนักทำภาพสามมิติในช่วงโพสต์โพรดักชัน นำโดยเกรแฮม โอลเซน และแอรอน ออที เพื่อเรนเดอร์ภาพวิชวลเอฟเฟ็กต์ขั้นต้นทันทีหลังการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง ช่วยให้กระบวนการด้านเอฟเฟ็กต์มีความลื่นไหล และช่วยให้มิลเลอร์สามารถปรับแต่งแต่ละช็อตอย่างละเอียดก่อนจะส่งต่อเพื่อการเรนเดอร์ออกมาเป็นวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่เสร็จสมบูรณ์เกือบครึ่งหนึ่งของหนังเกิดขึ้นโดยมีนักแสดงอยู่ภายในห้องโดยสารของวอร์ริก ดังนั้นฝ่ายเสียงจึงได้ติดตั้งกล่องแข็งซึ่งบรรจุเครื่องรับสัญญาณและเครื่องส่งสัญญาณ 12 เครื่องซึ่งสามารถรวมสัญญาณส่งเข้าสู่เสาอากาศหนึ่งเสาที่ส่งสัญญาณต่อไปได้ถึงสองกิโลเมตร รถแวนที่ขับเคลื่อนระยะไกลยังคอยติดตามรถวอร์ริกเพื่ออัดเสียงบรรยากาศจากภายในและภายนอกด้วย มิลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องราวดรามาภายในซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางแอ็คชั่นที่กระหน่ำอยู่ภายนอกวอร์ริกทำให้มันมีโลกของมันเอง “เราออกไปยังทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และหลายๆ ครั้ง นักแสดงของเราก็รวมกลุ่มกันในห้องโดยสารของรถคันนั้นเหมือนเป็นเรือโนอาเล็กๆ ของดวงวิญญาณที่หลงทาง และความรู้สึกนั้นก็แพร่เข้าไปสู่ในหนังด้วย”” สำหรับเธอรอนแล้ว มันเหมือนการทำงานโดยไม่มีตาข่ายรับ “ในโลกที่แร้นแค้นแบบนี้ คำพูดคือสิ่งฟุ่มเฟือย” เธอกล่าว “แต่เมื่อพยายามถ่ายทอดความรู้สึกออกไปโดยไม่พูดในสถานที่เล็กมากๆ แบบนี้ คุณก็จะถูกบังคับให้ไปยังทิศทางที่คุณไม่คุ้นเคย ฉันยกความดีให้จอร์จในแง่ที่เขารู้ว่าทำอย่างไรจึงจะถ่ายทอดฉากที่เน้นอารมณ์ในหนังเรื่องนี้โดยใช้บทพูดน้อยมาก ฉันเลยได้รู้สึกตัวว่าฉันพึ่งพาคำพูดมากแค่ไหนในการเป็นนักแสดง มันทำให้ฉันได้ย้อนกลับไปสมัยเป็นนักเต้นเวลาที่คุณต้องเล่าเรื่องราวโดยใช้ร่างกายเท่านั้น และเมื่อคุณคุ้นเคยกับมันแล้ว มันก็กลายเป็นการปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่เลยค่ะ”“แรงขับเคลื่อนของฉากภายในรถวอร์ริกแทบจะเหมือนกับหนังเงียบ” ฮาร์ดีเสริม “เราพยายามสื่อสารเรื่องราวในเชิงกายภาพซึ่งกำลังเกิดขึ้นภายนอกวอร์ริกขณะที่รถและระเบิดกำลังเข้ามาโจมตี แล้วก็มีคณะประสานเสียงเหมือนในละครกรีกในรูปแบบของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง และในขณะเดียวกันคุณก็พยายามเล่าเรื่องของเส้นทางสู่การชดใช้ จอร์จนำเราเข้าไปอยู่ในที่เงียบๆ ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย และเราต้องไปที่นั่นกับเขาด้วย”สำหรับโฮลต์แล้ว บางครั้งเขาก็แทบจะลืมไปเลยว่ากำลังรับบทบาทอยู่ “จอร์จยกทุกอย่างขึ้นไปอีกขั้น และนำประสบการณ์ที่สุดขั้วมาใส่ลงในโลกของเขา ประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต” เขากล่าว “คุณขับรถอยู่ท่ามกลางระเบิด และเห็นพวกโพลแค็ทแกว่งตัวแหวกอากาศลงไปยังรถบรรทุกหรือมอเตอร์ไซค์ แล้วสิ่งเดียวที่คุณอยากทำก็คือการมองดูมันเกิดขึ้นต่อหน้า แต่แล้วคุณก็เห็นว่ามีกล้องหันมาหาคุณอยู่ แล้วคุณก็นึกขึ้นได้ว่า ‘ตายล่ะ เราถูกกล้องถ่ายอยู่ตลอดเลยนี่นา’” นักแสดงทุกคนเข้าร่วมการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดเพื่อค้นหาและขัดเกลาฉากต่อสู้และฉากสตันท์ที่ตนเองสามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย ก่อนมายังกองถ่าย เธอรอนต้องทำการฝึกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย โดยส่วนใหญ่เป็นการเล่นโยคะที่เน้นลำตัวช่วงบนและการกลับหัว “ฉันดูเหมือนนักอเมริกันฟุตบอลในหนังเรื่องนี้” เธอยิ้ม “แต่ฉันเกลียดการที่หญิงสาวผอมบางสู้กับผู้ชายแล้วก็ยังชนะ ฉันอยากให้ดูเหมือนว่าฉันมีร่างกายช่วงบนที่แข็งแกร่งมากเพราะมีการแสดงส่วนที่ต้องใช้ร่างกายอยู่มากในหนังเรื่องนี้”บททดสอบครั้งใหญ่ที่สุดของเธอคือการต่อสู้มือเปล่าซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นทรายระหว่างแม็กซ์กับฟูริโอซา โดยมีนักซ์และภรรยาทั้งห้าเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ฉากนี้ เช่นเดียวกับฉากการโอบล้อมของกองรบ ถ่ายทำที่ที่ราบแบลงกีในช่วงสามสัปดาห์แรกของการถ่ายทำ ฟูริโอซาถูกจับโดยไม่มีแขนกล ซึ่งหมายความว่าเธอรอนจะไม่สามารถใช้แขนข้างนั้นได้ตลอดทั้งฉาก “เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางฉากการต่อสู้ใหญ่ๆ อะดรีนาลีนจะสูบฉีดเต็มที่ และคุณจะเป็นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งที่พยายามเอาชีวิตรอด” เธอเล่า “คุณไม่รู้สึกตัวว่าปกติใช้มือมากแค่ไหน และมันยากที่จะลุกขึ้นมาจากพื้นได้โดยใช้มือข้างเดียว”เธอรอนทำงานร่วมกับเดย์นา ชิพลิน และผู้ออกแบบท่าทางการต่อสู้หลักและที่ปรึกษาด้านอาวุธ เกร็ก แวน บอร์สซัม เพื่อแสดงการต่อสู้ด้วยตนเอง “ชารลิซพูดอยู่เรื่อยว่า ‘ฉันเล่นแอ็คชั่นนั้นให้ดีกว่านี้ได้’” มิลเลอร์กล่าว “เธอใส่ใจในรายละเอียดมาก ในทุกๆ อย่างตั้งแต่ท่าทางการยิงอาวุธไปจนถึงการเคลื่อนมือบนคันเกียร์”นอรริสสังเกตเห็นว่าฮาร์ดีก็สร้างภาษาท่าทางที่ละเอียดอ่อนสำหรับบทของเขาเหมือนกัน “คุณสามารถดูเขาโดยปิดเสียงในหนังเรื่องนี้แล้วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และทอมก็เล่นแอ็คชั่นหลายส่วนด้วยตัวเอง ทั้งการปีนขึ้นไปยังด้านบนของวอร์ริกและวิ่งไปตามความยาวของตัวรถ ห้อยหัวลงมาเหนือพื้นไม่กี่นิ้ว ทั้งหมดนั่นเป็นทอม อะไรก็ตามที่เราคิดว่าทอมเล่นได้อย่างปลอดภัย เขาก็จะเล่น””“ทอมมีพลังที่กร้าวแกร่งแบบนักรักบี้” มิลเลอร์เสริม “เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่จะลองทำทุกอย่าง คำพูดติดปากของเขาในกองถ่าย ‘Fury Road’ คือ ‘มาลองดูกันว่ามันไม่ได้ยังไง’ แล้วเขาก็พูดถูกนะ มันเป็นวิธีที่คุณจะปลดปล่อยตัวเองในฐานะนักแสดงไม่ให้ต้องกลัวความล้มเหลว”สำหรับนักแสดงรายนี้ กุญแจสำคัญในเรื่องร่างกายของแม็กซ์คือเขาไม่ได้ทำมาจากเหล็ก “ทุกอย่างมีต้นทุนในโลกใบนี้” ฮาร์ดีกล่าว “นั่นเป็นแนวคิดที่ปรากฏอยู่ทั่วเวสต์แลนด์ มีคนต้องสูญเสียชีวิต มีความเจ็บปวด และในเชิงเทคนิคแล้วมันไม่เท่เลยที่จะทำตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต้องเจ็บตัว แต่ถ้าคุณเอาหน้าไปกระแทกเข้ากับพื้น คุณก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น มันหนักหนาสาหัส ผมก็เลยทำให้มันดูสาหัส มันช่วยให้การเล่นบทนี้เป็นจริงสำหรับผม การยอมรับความเปราะบางของร่างกายเรา”ฮาร์ดีและนักแสดงแทน เจค็อบ โทมูรี เป็นเพื่อนคู่หูกันตลอดทั้งเรื่อง โดยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแบ่งภาระฉากสตันท์ของแม็กซ์ซึ่งค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ฮาร์ดียกเครดิตให้โทมูรีในการเล่นฉากแอ็คชั่นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกเข้าไปในกองรบแบบหืดจับ “เจค็อบรับส่วนโหดๆ ไป” ฮาร์ดีกล่าว “ผมแค่เล่นส่วนที่ห้อยหัวลงมานิดหน่อย ซึ่งก็โหดอยู่ดีล่ะ แต่ส่วนที่ผมต้องปะทะความเร็วหน้ารถน่าจะอยู่แค่ 30 หรือ 40 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นอย่างมาก ขณะที่เจค็อบต้องเจอความเร็วสูงกว่านั้นมาก และไม่ใช่แค่ไปข้างหน้า แต่ถอยหลังกลับด้วย และหมุน 360 องศาหลายครั้ง พร้อมด้วยระเบิดและการยิงปืนอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว ผมก็รับงานที่ค่อนข้างง่ายครับ”มิลเลอร์กล่าวว่าบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกนักแสดงออกจากทีมสตันท์ “เราพยายามรวมสองทีมนี้เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในส่วนของวอร์บอยและอิมเพอเรเตอร์ ดังนั้นในหลายๆ แง่ เราจึงมี Fury Road แบบนอกจอของเราเองอย่างที่เป็นอยู่”ตลอดการสร้างหนัง ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสภาพพื้นที่รวม 17 คนทำงานตลอดเวลาเพื่อรักษาสภาพสถานที่ระหว่างการถ่ายทำ หลังจากกองถ่าย “Mad Max: Fury Road” ออกจากนามิเบียเพื่อไปถ่ายทำเพิ่มเติมในเคปทาวน์ ทีมฟื้นฟูยังใช้เวลาต่ออีกสามเดือนเพื่อฟื้นคืนสภาพของสถานที่ถ่ายทำแต่ละแห่งให้กลับมางดงามดังเดิมการไล่ล่าครั้งสุดท้าย“ในเวสต์แลนด์นี้ ผมวิ่งหนีทั้งจากคนที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงสัญชาตญาณเดียว คือการอยู่รอด” - แม็กซ์ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ในระยะ 15 ปี “Mad Max: Fury Road” เป็นเพียงแนวคิด และเมื่อการถ่ายทำหนังเรื่องนี้จบลง แนวคิดนี้ก็ได้แปลงร่างเป็นฟุตเทจยาว 400 ชั่วโมง เพื่อเปลี่ยนให้ฟุตเทจนี้กลายเป็นช่วงเวลา 110 นาทีที่เต็มไปด้วยอารมณ์และแอ็คชั่น มิลเลอร์มอบหมายหน้าที่นี้ให้อยู่ในมือของนักตัดต่อที่ร่วมงานกันมานาน มาร์กาเร็ต ซิกเซล เธอเป็นผู้ “ปรับแต่งมิติเวลาและประสานชิ้นส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นประสบการณ์ชวนดื่มด่ำอันเป็นหนึ่งเดียว” ดังที่เขากล่าวไว้มิตเชลล์ซึ่งอยู่ตรงนั้นตลอดทุกขั้นตอนกล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มาร์กาเร็ตยืนอยู่ข้างจอร์จ และทั้งสองก็ร่วมกันทำสิ่งนี้จนลุล่วงออกมาได้ด้วยคุณภาพเช่นที่เป็นอยู่ เธอทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมพร้อมด้วยทีมงานที่เก่งกาจซึ่งอยู่เบื้องหลัง” เพื่อแปรสภาพฟุตเทจที่ถ่ายทำมาจากนามิเบียให้เป็นเวสต์แลนด์ตามจินตนาการของเขา มิลเลอร์ได้ร่วมงานกับผู้แต่งสีและพัฒนาภาพ อีริก วิปป์ รวมทั้งผู้บันทึกและมิกซ์เสียง คริส เจนคินส์ และเกร็ก รัดลอฟฟ์ เพื่อสร้างเสียงการปะทะและความกระแทกกระทั้นของสงครามบนท้องถนนขึ้นมา แต่มิติของเสียงภายในหนังจะยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างเต็มที่จนกระทั่งทอม โฮลเคนบอร์ก หรือ จังกี เอ็กซ์แอล โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงผู้เข้าชิงรางวัลแกรมมี ได้เข้ามาร่วมทีม มิลเลอร์เป็นแฟนดนตรีทดลองของจังกี เอ็กซ์แอลมานานแล้ว แต่เมื่อผู้กำกับรายนี้เชิญเขาให้มาร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ จังกี เอ็กซ์แอล ก็ตระหนักว่างานของเขาคือการนำมันขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง “เมื่อคุณดูหนัง คุณอยู่ในโลกที่บ้าคลั่ง ดังนั้นผมจึงรู้ว่าดนตรีในหนังเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่ดนตรีประกอบหนังแอ็คชั่นทั่วไป” นักแต่งเพลงรายนี้กล่าว “มันจะต้องอลังการน่าเหลือเชื่อเพื่อให้เข้ากับภาพที่ปรากฏ แทบจะเป็นเหมือนโอเปราในแบบโมเดิร์นร็อค” เขาสร้างเวสต์แลนด์ให้เป็นรูปเป็นร่างด้วยช่วงเวลาที่ละมุนละไมสงบนิ่งและช่วงเวลาอันเร้าใจของความบ้าระห่ำ ด้วยการใช้เครื่องดนตรีเกือบ 200 ชิ้นเพื่อถักทอเสียงกลองที่ตีกระหน่ำ เครื่องสายที่พลิ้วไหว และเพลงธีมอันยิ่งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยกีตาร์ไฟฟ้า “ในจังหวะที่คุณจะออกจากโลกอันบ้าคลั่งแล้วกลับมายังความเป็นมนุษย์ของตัวละคร ดนตรีก็จะค่อยๆ ผ่อนให้เหลือน้อยลงเช่นกัน” เขากล่าว “ในฉากเหล่านั้น ผมนำเครื่องเป่าเข้ามาใช้และใช้เครื่องสายเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อน ผลลัพธ์ก็คือบทบรรเลงที่ครอบคลุมทั้งเครื่องให้จังหวะอันยิ่งใหญ่โหดเหี้ยมและคณะนักร้องประสาน 80 คน พร้อมด้วยส่วนเครื่องสาย และการออกแบบเสียงดนตรี และทุกๆ อย่างที่อยู่ระหว่างนั้น” สำหรับมิลเลอร์ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือคำตอบอันกระจ่างแจ้ง ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “ข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่สำหรับทีมงานทุกคนที่นำเอาสติปัญญาของตนมาใส่ลงไปในงานนี้ ผมดูหนังเรื่องนี้เป็นพันๆ ครั้งกับมาร์กาเร็ต แต่ตอนนี้ผมสามารถนั่งดูมันแบบสบายๆ ได้บ้างแล้วและปล่อยให้เรื่องราวนำพาผมไป”“การสร้างประสบการณ์ให้ผู้ชมเป็นเป้าหมายของจอร์จมาตลอด และเป็นเหตุผลที่เขาทำงานหนักมากเพื่อทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และผมก็คิดว่าเขาประสบความสำเร็จ” มิตเชลล์กล่าว “‘Fury Road’ ไม่เหมือนอะไรที่ผมเคยดูมาก่อนเลย และผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่เหมือนหนังเรื่องนี้อีกหรือไม่ในช่วงชีวิตของเรา”ฮาร์ดียืนยันว่า “จอร์จนำทุกอย่างใส่ลงไปในเรื่องราวของเขาด้วยความระมัดระวังและใส่ใจ เขาออกไปถ่ายทำมันเพฟรมต่อเฟรมเป็นเดือนๆ จนกระทั่งเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการให้ปรากฏอยู่บนจอ มันเจ๋งมากครับ นี่เป็นหนังที่ผู้คนมากมายตั้งตารอ และไม่มีใครรอมานานเท่าจอร์จในการทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา”มิลเลอร์เองมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาและหนทางอันยาวไกลที่ผ่านมานั้นก็ได้มารับใช้ช่วงเวลานี้ “หนังอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากคนดู” เขากล่าว “มันไม่ได้อยู่ในแผ่นดิสก์หรือในตลับฟิล์ม มันอยู่ในโรงหนังที่ซึ่งเรามานั่งรวมอยู่กับคนแปลกหน้าและปล่อยตัวเองให้อยู่กับจอภาพยนตร์ มันเป็นประสบการณ์ร่วมกัน และด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะรู้ได้ว่าเราสร้างอะไรขึ้นมา ผมหวังว่าผู้ชมจะได้สร้างความผูกพันกับมันและหวังว่าหนังจะมีความหมายต่อผู้ชม”