ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรมต่างๆจากเซนไฮเซอร์เป็นที่ประทับใจอย่างกว้างขวาง โดยภายใน 7 ทศวรรษที่ผ่านมา เซนไฮเซอร์สร้างผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีทางด้านเสียงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ครั้งแรกในโลกของ หูฟังสไตน์ โอเพน เอียร์โฟน และ เดอะ เอชดี 414 (HD 414) รวมไปถึงเทคโนโลยีไร้สายโดย ระบบดิจิตอล 9000 จนถึงนวัตกรรมในปัจจุบันอย่างเช่น ทีมคอนเนค (TeamConnect) โซลูชั่นเสียงสตีมมิ่งรวมสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการได้ยิน เซนไฮเซอร์ได้รับสิทธิบัตรและรางวัลจำนวนมาก รวมถึง รางวัลเอมมี่ (Emmy) รางวัลแกรมมี่ (Grammy) และรางวัลออสก้า (Oscar) ซึ่งทั้งหมดเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนทางนวัตกรรมของบริษัทนี้ “ในอดีตที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ของพวกเราได้สร้างความประหลาดใจในโลกแห่งเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมนะหรือ เพราะว่าทุกผลิตภัณฑ์มีคุณภาพที่มากกว่ามาตรฐานทั่วไป ซึ่งไม่มีผู้ใดคาดถึง” กล่าวโดย ดร.แอนเดรียน เซนไฮเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมกับมร. แดเนียล เซนไฮเซอร์จุดเริ่มต้น
ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 1945 ในนาม แล๊บบอราทอเรี่ยม เวนเนอร์โบสเตอร์ (Laboratorium Wennebostel) หรือ "เลเบอร์ ดับเบิ้ลยู" (Labor W) โดยวิศวกรไฟฟ้าศ. ดร. ฟริตซ์ เซนไฮเซอร์ ใน เวเดะมาร์ค ใกล้กับ ฮันโนเวอร์ ในเยอรมนี โดยตอนต้นนั้น บริษัทเล็กๆแห่งนี้ได้ผลิตหลอดมิเตอร์และธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ด้วยความทะเยอทะยานของ ศ. ดร.ฟริซ เซนไฮเซอร์ ในการขับเคลื่อนความต้องการในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ดีให้ดียิ่งขึ้นควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีไปในเวลาเดียวกัน ห้องปฏิบัติการจึงได้พัฒนาโซลูชั่นใหม่ในการสตีมที่คงที่ โดยปีต่อๆมาผลิตภัณฑ์ได้ค่อยๆขยายตัวขึ้น ในปี 1947 เซนไฮเซอร์เปิดตัวไมโครโฟนที่พัฒนาขึ้นสำหรับใช้ภายในและต่อมาในปี 1956 ตามด้วยไมโครโฟน ช๊อตกัน (shortgun) ซึ่งในปีต่อมาบริษัทได้ผลิตไมโครโฟนรุ่นต่างๆออกมามากมายถึง 100 แบบที่แตกต่างกันไป ในช่วงต้นของปี 1958 เลเบอร์ ดับเบิ้ลยู ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเซนไฮเซอร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ ที่สิบปีหลังจากนั้นจะจุดประกายไปทั่วโลกด้วยการพัฒนาและการผลิตหูฟังครั้งแรกในสไตน์ โอเพ่น เอียร์โฟนครอบครัวเซนไฮเซอร์รุ่นที่สองและสาม
ในเดือนพฤษภาคมปี 1982 เซนไฮเซอร์ได้ทำการปรับเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการเป็นครั้งแรก ศ. ดร. เยิคร์ เซนไฮเซอร์ ลูกชายของ ศ. ดร.ฟริซ เซนไฮเซอร์ ได้รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ในขณะที่พ่อของเขาก็เป็นหุ้นส่วนของบริษัท โดยในช่วงปีที่ ศ. ดร. เยิคร์ เซนไฮเซอร์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เขาได้พัฒนาให้บริษัทมีความทันสมัยและเป็นสากลมากยิ่งขึ้น รวมถึงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซนไฮเซอร์ไปในรูปแบบ จีเอมบีเฮช แอนด์ ซโอ เคจี (GmbH & Co. KG) การพัฒนาที่เฉียบคมในหลายๆด้านรวมถึงด้านคุณภาพเสียง จุดขายและบริการในทั่วโลก รวมถึงโมเมนตัมที่ไม่เคยมีมาก่อน เซนไฮเซอร์ เปิดโรงงานผลิตเพิ่มเติมใน ทัลลา ไอร์แลนด์ และสำนักงานสาขาการวิจัยและพัฒนาในเบอร์แบงก์แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และที่เพิ่มมาจากนั้นคือโรงงานใน รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และการร่วมการค้ากับ เดนมาร์ค วิลเลี่ยม ดีมั้น โฮว์ดิ้ง (Denmark’s William Demant Holding) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ เซนไฮเซอร์ คอมมูนิเคชั่น เอเอสในปี 2003
ในเดือน กรกฎาคม 2013 มร. แดเนียล เซนไฮเซอร์และ ดร.แอนเดรียน เซนไฮเซอร์ ลูกชายทั้งสองของ ศ. ดร. เยิคร์ เซนไฮเซอร์ เข้าบริหารในฐานะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ของ เซนไฮเซอร์ ทั้งสองได้ร่วมกันบริหารบริษัทของคุณปู่และคุณพ่อ โดยมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์พลังงานแห่งเสียงผ่านทางวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่หลากหลาย และความต้องการอย่างที่สุดในความเป็นเลิศ ต้องขอขอบคุณความมุ่งมั่นต่างๆที่สามารถทำให้ โรงงานเลเบอร์ ดับเบิ้ลยู แบบเล็กๆ ในเวเดะมาร์ค เติบโตขึ้นระดับโลกและมีผลประกอบการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในปัจจุบัน เซนไฮเซอร์ มีพนักงานมากกว่า 2,700 คน โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมดอยู่ในเยอรมนี ในปี 2013 บริษัทที่บริหารภายในครอบครัวนี้ที่ยังมีบอร์ดบริหารที่ความเป็นอิสระเป็นค่านิยมหลัก ได้สร้างผลประกอบการราว 590.4 ล้านยูโร การก้าวสู่อนาคตอย่างชาญฉลาด
ในฐานะที่เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม เซนไฮเซอร์มีความมุ่งมั่นในการสานต่อความเป็นผู้นำแห่งวงการเกี่ยวกับเสียงในอนาคต โดยโครงสร้างพื้นฐานของอินโนเวทีฟ แคมปัส (Innovative Campus) ได้ถูกวางไว้แล้วด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดอย่างที่จะมีแผนเปิดใช้ในเดือน พฤษภาคม 2015 อินโนเวทีฟ แคมปัส (Innovative Campus) ที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ของบริษัท ในเวเดะมาร์ค เยอรมนี “ในฐานะที่อินโนเวทีฟ แคมปัส เป็นศูนย์รวมนวัตกรรมจากทั่วทุกมุมโลก พวกเรามีการทำงานร่วมกันระหว่างทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ซึ่งจะนำประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆนั้นมารวมกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์ อย่างเช่นการสร้างเสียงที่มีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น” กล่าวโดยมร. แดเนียล เซนไฮเซอร์ “ในอนาคตเราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบนเวที ในสตูดิโอผลิตผลงานระดับมืออาชีพ ออฟฟิต หรือ การใช้งานเพื่อการพักผ่อน เพื่อให้ได้รับคุณภาพเสียงที่ไม่มีที่ติได้ในทุกที่ทุกสถานการณ์” ด้วยการปรับแต่งให้เข้ากับผลิตภัณฑ์อย่างชาญฉลาด เซนไฮเซอร์จะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อที่จะส่งมอบโซลูชั่นสำหรับอนาคตที่ปรับเปลี่ยนความเชื่อทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเสียง
ตลอดปี 2558 นี้ เป็นการครบรอบ 70 ปีของ เซนไฮเซอร์ โดยทุกเดือนนิตยสารออนไลน์ บลูเสตจ (Bluestage) จะนำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผู้ เชี่ยวชาญด้านเสียง และประวัติศาสตร์ของ บริษัท ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ http://de-de.sennheiser.com/bluestage-magazin
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit