บลจ.กสิกรไทยจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติรอบแรกเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.20 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 2% ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยจึงรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 และจะชำระเงินค่าขายคืนให้กับผู้ลงทุนในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ลงทุนในวันที่ 29 พฤษภาคม 2558
“ปัจจัยที่ทำให้กองทุนดังกล่าวเข้าเป้าหมายแรกได้ภายในระยะเวลาเพียง 4 วัน มาจากการจับจังหวะลงทุนและใช้โอกาสจากความผันผวนของตลาด เนื่องจากบริษัทมองว่าดัชนีในระดับ 1,500 จุด เป็นแนวรับที่เหมาะสม โดยบริษัทมีความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และการเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้ ผลดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จนถึง ณ วันที่ 22 พ.ค 2558 กองทุนสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 2.13% ในขณะที่ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลดลง 0.14%” นางสาวธิดาศิริกล่าว
นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้กองทุนประสบความสำเร็จได้ มาจากกลยุทธ์การบริหารกองทุนในเชิงรุก (Active) ซึ่งผู้จัดการกองทุนมีการคัดเลือกหุ้นที่เหมาะสม โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ อาทิ หุ้นในกลุ่มสื่อสารที่จะได้รับประโยชน์จากการประมูล 4G หรือหุ้นในกลุ่มก่อสร้างที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงหนุนของหุ้นในบางกลุ่ม อาทิ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างซึ่งมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่มเติม ภายหลังจากเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2558 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้รายงานถึงความคืบหน้าของแผนดำเนินการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ
สำหรับกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 5 (KTFT5) มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นไทย แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากได้ โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0%-100% ตามสภาวะตลาดที่เหมาะสมในแต่ละขณะ โดยกองทุนมีเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนอยู่ที่ 5%* ภายในระยะเวลา 1 ปี พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับผลตอบแทน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.20 บาท ต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 2.0% และครั้งที่ 2 จะรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.70 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนอีกประมาณ 3.0%* (หมายเหตุ: *เป็นเพียงเป้าหมายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดเพื่อเลิกกองทุนเท่านั้น ไม่ใช่ตัวประมาณการหรือรับประกันอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงอาจจะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่อ้างถึง)
นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า “บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,650 จุด ด้วยอัตราส่วน P/E ที่ระดับ 16 เท่า และประมาณอัตราการเติบโตของผลกำไรปกติของบริษัทจดทะเบียนที่ 12% โดยปัจจัยสนับสนุนหลักจะได้รับมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ และการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่เริ่มเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนปัจจัยในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปรับลดลงอีกเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในรอบ 6 สัปดาห์ มาอยู่ในระดับต่ำที่ 1.50% ส่งผลให้ความน่าสนใจของตราสารหนี้ลดลง ในขณะที่หุ้นจะได้รับความสนใจมากขึ้นในสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ สภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง จากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ จะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการปรับตัวของตลาดหุ้นเพิ่มเติมอีกด้วย
ผู้ลงทุนโปรด “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit