“การที่ตลาดปรับตัวลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา คาดว่ามาจากความกังวลในตลาด ที่ทำให้นักลงทุนกังวลและลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง หลังการประกาศตัวเลขดัชนีภาคการผลิตของจีนประจำเดือนสิงหาคมที่ออกมาต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปีครึ่ง รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้เกิดความวิตกว่าเศรษฐกิจจีนได้เข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง และส่งผลทำให้เกิดแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุน โดยยังมี 2 ปัจจัยหลักมาเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ปัจจัยเรื่องความกังวลต่อภาวะความผันผวนของตลาดที่จะเพิ่มขึ้น หาก FED มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัจจัยความกังวลเรื่องการอ่อนค่าของสกุลเงินในเอเชีย รวมถึงประเทศเกิดใหม่ตามทิศทางค่าเงินของจีน นอกจากนี้เมื่อจีนมีแนวโน้มที่จะมีการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง จึงได้ส่งผลกระทบต่อประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ซึ่งมีการพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และยังกระทบต่อประเทศที่พัฒนาแล้วในแง่การเป็นประเทศคู่ค้าของจีนด้วย” นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวว่า สถานการณ์ต่อจากนี้ไป คาดว่าตลาดในภาพรวมจะยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่จะส่งผลกระทบคือ โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนของตลาดการเงินโลกดังกล่าว ทำให้นักลงทุนมีการปรับลดโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ลดลงจาก 50% ในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 33% รวมถึงจะต้องติดตามผลจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งล่าสุดของทางการจีน ว่าตลาดจะตอบรับในเชิงบวกได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากที่ผ่านมา แม้ธนาคารกลางจีนได้ดำเนินนโยบายผ่อนคลายเศรษฐกิจและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร นอกจากนี้นักลงทุนยังเกิดความไม่มั่นใจต่อประสิทธิภาพของมาตรการจีนในหลายด้าน อาทิ การเข้าไปแทรกแซงตลาดหุ้นที่ร้อนแรง การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และการปรับลดค่าเงินหยวน ทำให้ตลาดเกิดความกังวลถึงความชัดเจนของนโยบายภาครัฐดังที่กล่าวมา
นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับมุมมองของบลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยชะลอการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อประเมินสถานการณ์และภาวะตลาดอีกครั้งให้มีความชัดเจนมากขึ้นก่อน โดยเฉพาะหลังการประชุมของ FED ในเดือนกันยายน ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้นักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนอยู่ในปัจจุบัน หากไม่สามารถรับความผันผวนได้ อาจมีการสับเปลี่ยนเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อาทิ กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนผสม แต่ถ้าสามารถรับความผันผวนได้ แนะนำให้ถือต่อไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดหุ้นไทย แม้บลจ.กสิกรไทยจะมีการปรับเป้าหมายดัชนีปลายปี ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,400-1,450 จุดแล้ว แต่เนื่องจากระดับราคาปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ จึงสามารถเข้าสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะกองทุน LTF และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยได้