แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของไอทีในปี 2015 และอนาคต โดย Dirk-Peter van Leeuwen, ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของเรดแฮทประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และประเทศญี่ปุ่น

26 Aug 2015
ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานมีให้เห็นทั้งในระบบเศรษฐกิจและแนวทางการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน องค์กรต่างๆจะต้องคิดทบทวนใหม่ในเรื่องหลักการขั้นพื้นฐานของวิธีการทำธุรกิจของตน และต้องมุ่งเดินไปข้างหน้าให้รวดเร็วและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ มากกว่าการทำตามแนวทางเดิมๆที่เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่โตยิ่งดี

ธุรกิจต่างๆ ได้พัฒนาจากระบบที่สร้างมาเพื่อเน้นประสิทธิภาพมาเป็นสร้างมาเพื่อเน้นการสร้างนวัตกรรม ด้วยการใช้เครื่องมือที่มีคุณค่ามากที่สุดคือข้อมูลข่าวสารและการที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างเช่นสมาร์ทดีไวซ์ (smart devices) บริษัทใด ๆ ที่มีนวัตกรรมและพัฒนาได้ทันเทคโนโลยีนี้จะเติบโตขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในองค์กรขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมของตน อย่างเช่น Uber เป็นบริษัทแท็กซี่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่เลยสักคัน Facebook เป็นสื่อที่ไม่ได้เป็นผู้สร้างเนื้อหาของตนเองเลย และ Airbnb เป็นผู้จัดหาที่พักแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ใด ๆ สิ่งที่ทั้ง 3 บริษัทนี้ทำเหมือน ๆ กันคือการทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจมากขึ้นโดยสามารถใช้แอพพิเคชั่น (app) ผ่านสมาร์ทดีไวซ์เลือกสิ่งที่ตนเองต้องการได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธุรกิจในปัจจุบันอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างสูงให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการแอพและประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการใช้แอพเหล่านี้ องค์กรธุรกิจไม่ต้องสนใจเรื่องขนาดอีกต่อไป เพราะไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงแค่สินทรัพย์ที่มีตัวตนของตนเองเท่านั้น องค์กรธุรกิจจะต้องลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่อย่างสม่ำเสมอให้สามารถล้ำหน้าตลาดได้อยู่ตลอดต่อไป

ในงาน Red Hat Summit 2015 มีการสัมมนาในหัวข้อสำคัญมาก ๆ หลายหัวข้อ โดย Dirk-Peter van Leeuwen ซึ่งเป็นผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของเรดแฮทในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และประเทศญี่ปุ่น ได้สรุปออกมาเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่เป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งจะมีบทบาทอย่างสูงในอีก 2-3 ปีข้างหน้าดังต่อไปนี้

การทำให้เป็นดิจิตัล (Digitalization)

ในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อย่างเช่นจาก grid กลายเป็น cloud จาก service-oriented architecture กลายเป็น microservices จาก machine virtualization กลายเป็น container technology อย่างไรก็ตามยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกประการเกิดขึ้นรวดเร็วมาก นั่นคือเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันและทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ กำลังกลายเป็นซอฟแวร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนักวิเคราะห์เรียกแนวโน้มนี้รวม ๆ กันว่า การทำให้เป็นดิจิตัล

การทำให้เป็นดิจิตัลถูกเร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการลู่เข้าหากันและการเชื่อมโยงกันของแนวโน้มทางสังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยี การทำทุกอย่างให้เป็นดิจิตัล จากโมบายล์โซลูชั่นทั้งในเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความปลอดภัย (security) จะเป็นตัวการที่ทำให้องค์กรที่เดินมาในแนวทางนี้สามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเหนือองค์กรอื่นได้ องค์กรจะต้องเต็มใจที่จะปรับตัวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับทางเทคโนโลยี ซึ่งทำให้สามารถรวมทรัพย์สินทางปัญญาของตนผนวกเข้ากับ web APIs เพื่อที่ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ประสพความสำเร็จในตลาด

การทำระบบไอทีให้เป็นคอนเทนเนอร์ (Containerized IT)

การทำให้เป็นคอนเทนเนอร์ (Containerization) เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ machine virtualization แบบเต็มตัว โดยเป็นการนำแอฟพิเคชั่นแต่ละอันมาวางลงบนคอนเทนเนอร์ซึ่งมีระบบปฏิบัติการณ์เป็นของตัวเอง ในสภาพแวดล้อมแบบองค์กรขนาดใหญ่ในปัจจุบันได้มีการนำแนวคิดคอนเทนเนอ์มาปรับใช้ในการเปลี่ยนแปลงระบบไอทีและได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากมองเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นตามมาหลายประการ จาก 67 % ของผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจเลือกระบบไอทีและผู้เชี่ยวชาญทางไอทีทั่วโลกในการวิจัยที่เรดแฮทให้การสนับสนุนตอบว่า มีแผนการที่จะสร้างแอฟพิเคชั่นที่ทำงานบนคอนเทนเนอร์ (container-based applications) ในอีกสองปีข้างหน้า(1)

องค์กรต้องการการออกแบบแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อที่ทำให้แอฟพิเคชั่นและบริการต่าง ๆที่ทำงานอยู่บนคอนเทนเนอร์สามารถทำงาน(run)ประสานกันได้(orchestrate) และขยายขนาดได้ (scale) ทั้งยังต้องการกระบวนการในการสร้างและนำมาใช้งานที่ง่ายขึ้นซึ่งจะช่วยให้องค์กรยังสามารถจัดการแอฟพิเคชั่นทั้งแบบเก่าและที่อยู่บนคลาวด์ได้อย่างสอดคล้องกันอีกด้วย

อีกปีอันหน้าตื่นเต้นสำหรับ PaaS

Platform-as-a-Service (PaaS) ได้รับการสนับสนุนอย่างมากในสองสามปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในปี 2015 กำลังจะเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้ PaaS ด้วยการที่ Docker ทำให้แนวความคิดเรื่องการทำให้เป็นคอนเทนเนอร์และสถาปัตยกรรมแบบวางรากฐานอยู่บนคอนเทนเนอร์ได้รับความนิยมอย่างสูง องค์กรต่าง ๆ กำลังเคลื่อนที่จากการถามถึงคอนเทนเนอร์ในฐานะเป็นแนวทางที่จะไป ไปสู่การถามว่าจะทำมันได้อย่างไรแทน ในปีที่แล้วเราได้เห็นจำนวนองค์กรที่เลือก PaaS มากกว่า Infrastructure-as-a-Service (IaaS) เป็นเป้าหมายแรกในการทำกลยุทธสร้างคลาวด์แบบ private/hybrid ของตน

องค์กรต่าง ๆ กำลังต้องการแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นสำหรับทำ microservices architecture ซึ่ง ผู้ให้บริการ PaaS และคลาวด์ทั้งหลายเริ่มพร้อมที่จะให้บริการนี้ได้ โดยตอนนี้มีคอนเทนเนอร์แบบโอเพ่นซอร์สและ orchestration practices แล้วซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ในเรื่องการพัฒนาและขับเคลื่อนแพลตฟอร์มไปในทิศทางที่ลูกค้าต้องการ นั้นคือแนวโน้มเรื่องอินเตอร์เน็ตของทุก ๆ สิ่ง (Internet of Things-IoT) และจะสร้างแรงกดดันอย่างสูงให้ผู้ให้บริการ PaaS จัดหาบริการที่ง่ายต่อการจัดการ มีการทำงานต่อเนื่องสูง และสามารถขยายได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

เร่งเครื่องเข้าสู่โมบิลิตี้

องค์กรต่าง ๆ กำลังพยายามตามให้ทันแนวโน้มของการใช้ไอทีในทุก ๆ ที่ เสมือนเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค (consumerization of IT) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลของอุปกรณ์พกพา โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาแอฟพิเคชั่นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและเพิ่มความพึ่งพอใจให้แก่ลูกค้า จากการศึกษาพบว่า 82 % ขององค์กรธุรกิจล้วนมีแผนการที่จะลงทุนในโซลูชั่นที่ช่วยจัดการอุปกรณ์พกพาและดำเนินนโยบายธุรกิจในทิศทางนี้โดยเริ่มจากปี 2015 เป็นต้นไป(2)

โมบิลิตี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุดในหลาย ๆ ธุรกิจทั้งนี้เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรม ทำกระบวนการทำงานของตนให้ต่อเนื่องกันโดยประสิทธิภาพสูงขึ้น และพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจแบบใหม่ ๆ องค์กรมองหาโซลูชั่นที่จะช่วยให้สามารถทำการพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและทำให้แอฟพิเคชั่นต่าง ๆ ที่มีประสานงานกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อช่วยให้องค์กรมุ่งไปสู่กลยุทธโมบายเป็นอันดับแรก (mobile-first strategy) ได้สำเร็จ

กระตุ้นองค์กรต่าง ๆ ให้เดินหน้า

ปีนี้ Red Hat Summit จัดขึ้นในวันที่ 23-26 เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้นำผู้บริหารของเรดแฮท ลูกค้าและคู่ค้าต่าง ๆ มาสัมมนาร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้เห็นแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นและนวัตกรรมใหม่ ๆ ของเรดแฮท ในงานสัมมนา Jim Whitehurst ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะบริหารของเรดแฮทได้กล่าวเน้นว่า คุณค่าของเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของ licensed code เท่านั้นแต่เป็นเรื่องของการพัฒนาที่จะต้องร่วมมือกัน (collaboration) และทำกันเป็นประชาคมต่าง ๆ (communities)Red Hat Summit เป็นงานที่จัดขึ้นทุกปี เป็นที่ซึ่งเรดแฮทและผู้นำแห่งเทคโนโลยีในอนาคตทั้งหลายมาเปิดเผยแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีและหาแนวทางร่วมกันในการทำให้ซอฟแวร์แบบโอเพ่นซอร์สเปลี่ยนแปลงทุก ๆ สิ่ง จาก คลาวด์และไลนุกส์คอนเทนเนอร์ไปสู่ mobile , big data , the Internet of Things และเหนือกว่านั้น เรื่องที่เป็นกุญแจหลักสำคัญของปีนี้คือ Docker container technology โดยเรดแฮทได้ประกาศเปิดตัว Atomic Enterprise Platform และ Openshift Enterprise 3 platform ของตน Atomic Enterprise จะช่วยในการสนับสนุนช่วยเหลือแก่ hosting platform ในการ deployment และ orchestration การทำ Docker containers ขณะที่ Openshift เป็น PaaS ที่มุ่งให้บริการผู้พัฒนาในการสร้าง จัดการ และ นำ containers มาใช้(1) Help Net Security, Linux container security and certification concern remain, June 22,2015(2) IDG Enterprise, IDG Enterprise Consumerization of IT in the Enterprise Study 2014, March 20,2014