ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีสามารถทำยอดขายอสังหาฯได้แล้วกว่า 2.5-2.6 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ ดังนี้ โครงการเสนาวิลล์ศาลายา โครงการเสนาพาร์ควิลล์รามอินทราและเสนาชอปเฮ้าส์ สุขุมวิท 113 มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท หลังจากได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมเดอะนิช ไพร์ด ทองหล่อ-เพชรบุรี มูลค่า 2.23 พันล้านบาทไปแล้ว ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภค และในเดือนกันยายนนี้ ได้ปรับเพิ่มราคาขายขึ้นอีก 5% เพื่อให้มีความสอดคล้องกับราคาในตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น
"ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่กว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 1 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ และตัวแปรที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่กดดันคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าบางรายได้รับการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า "ไฟนีออน" เชื่อมั่นว่าจะสามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์"ผศ.ดร.เกษรากล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2558 บริษัทได้ตัดสินใจรุกสู่ตลาดกลุ่มลูกค้าในระดับ B+ ที่มีฐานรายได้ในระดับ 100,000 บาท ด้วยการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นแนวราบ 7 แห่ง และแนวสูง 3 แห่ง โดยสาเหตุที่ลงมาเล่นตลาดนี้ เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ หลังภาวะหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากยอดปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าของเสนาฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558) มีรายได้รวม 976.44 ล้านบาท กำไรสุทธิ 111.33 ล้านบาท และคณะกรรมการของบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับงวดผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ ในอัตรา 0.050604 บาท/หุ้น โดยจะมีการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 กันยายนที่จะถึงนี้
"การประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ ถือเป็นการให้โบนัสสำหรับผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจ เสนาฯด้วยดีเสมอมา และผู้ถือหุ้นยังได้รับสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนที่ขายให้กับ RO ที่เราเตรียมนำเงินที่ได้ไปรุกธุรกิจพลังงานทดแทนเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ และเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ที่เป็น Recurring Income เพิ่มมากขึ้น และเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งนักเคราะห์หลายสำนักประเมินว่าทำให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์ได้อีกมาก เมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบัน"ผศ.ดร.เกษรากล่าวในที่สุด
อนึ่ง คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 262 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในราคาส่วนลดไม่เกิน 50% ของราคาตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าลงทุนใน TTRE สัดส่วน 99.9995% รุกคืบเข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด ในโครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 3,336 ล้านบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้บริษัทยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เสี่ยงน้อย และสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว ซึ่งจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นและขอมติเพิ่มทุนในเดือนกันยายนนี้
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการบริษัทที่ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและวางระบบวิศวกรรม (EPC) โซลาร์รูฟท็อป ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และบริษัทจะมีรายได้พิเศษเสริมเข้ามาจากการรับงานติดตั้งโซลาร์รูฟฯ ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย และเป็นการตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าของเสนาฯครบ 360 องศา เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง การให้บริการหลังการขาย ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาในอนาคต และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านกับเสนาฯได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ติดตั้งบนหลังคาโกดังของบริษัทที่สุขุมวิท ไปแล้ว โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 750 กิโลวัตต์ ซึ่งจะทำให้ปีนี้จะรับรู้รายได้จากการขายไฟจากโครงการดังกล่าวเข้ามาประมาณ 3.5 ล้านบาท และในปี 2559 จะรับรู้เต็มปีเป็นจำนวน 7 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2558 จะมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 85% รายได้ค่าเช่า 10% และรายได้โครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 5%
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit