ตามเงื่อนไขข้อตกลงการค้ำประกันซึ่งบังคับใช้ภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวเต็มจำนวนในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ โดยผู้ค้ำประกันพร้อมที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ภายใต้ข้อตกลงการค้ำประกันในกรณีที่บริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด นอกจากนี้ หากมีการควบรวมหรือการครอบงำกิจการของผู้ค้ำประกันคือ ORIX บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการหรือบริษัทที่เข้าครอบงำกิจการของ ORIX จะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย และในกรณีที่ ORIX ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ค้ำประกัน ณ ศาลในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระหนี้คืนได้ โดยที่ภาระการค้ำประกันนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือเพิกถอนโดยปราศจากมติเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้นกู้
อันดับเครดิตของ ORIX ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ได้รับแรงหนุนจากสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ของตนเอง โดยจุดแข็งของ ORIX คือการมีธุรกิจและแหล่งรายได้ที่หลากหลาย ORIX ต้องพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ORIX มีจำนวนแหล่งเงินกู้ที่มากเพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการต้องพึ่งพิงเงินทุนจากตลาดทุน
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ของหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทไทยโอริกซ์ลีซิ่งสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันคือ ORIX ซึ่งได้รับอันดับเครดิตในระดับสากล (International Scale) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" จาก Standard & Poor's และระดับ "Baa1" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" จาก Moody's
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตสำหรับหุ้นกู้มีการค้าประกันของ TOLC อาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันคือ ORIX
ORIX ก่อตั้งในปี 2507 โดยความร่วมมือของสถาบันการเงิน 5 แห่งและบริษัทธุรกิจการค้าอีก 3 แห่ง บริษัทถือเป็นผู้บุกเบิกในธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งในประเทศญี่ปุ่น กว่า 50 ปีของการดำเนินงาน ORIX ได้ขยายขอบเขตความหลากหลายของธุรกิจมาโดยตลอด จนกระทั่งปัจจุบันมีการให้บริการทางการเงินที่กว้างขวางนอกเหนือจากการให้บริการลีสซิ่ง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ORIX มีสินทรัพย์รวมจำนวน 11.3 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นจาก 24% ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2557 สินทรัพย์รวมของ ORIX ประกอบไปด้วยสินเชื่อผ่อนชำระ 2.5 ล้านล้านเยน ซึ่งคิดเป็น 22% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ตามด้วยเงินลงทุนในหลักทรัพย์ 2.6 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็น 23% เงินลงทุนในสินทรัพย์ให้เช่าดำเนินงานจำนวน 1.3 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็น 11.9% และเงินลงทุนในสินทรัพย์ให้เช่าทางการเงินจำนวน 1.2 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็น 10.7%
ธุรกิจของ ORIX ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ (Corporate Financial Services) ธุรกิจลีสซิ่งแบบเช่าบำรุง (Maintenance Leasing) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ธุรกิจการลงทุนและการดำเนินงาน (Investment and Operations) ธุรกิจสำหรับลูกค้ารายย่อย (Retail) และธุรกิจต่างประเทศ (Overseas Business) หลังจากวิกฤตทางการเงินในช่วงปี 2551-2552 สินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจของ ORIX ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 7 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2552 เป็น 6.1 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2555 การลดลงของสินทรัพย์สะท้อนถึงความตั้งใจของ ORIX ที่จะลดขนาดสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยสินทรัพย์รวมในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 1,856 พันล้านเยน หรือคิดเป็น 26.6% ของสินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจในรอบปีบัญชี 2552 เป็น 803 พันล้านเยน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 หรือเท่ากับ 9% ของสินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจสำหรับลูกค้ารายย่อยและกลุ่มธุรกิจต่างประเทศช่วยชดเชยการลดลงของสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศยังคงเป็นกลุ่มที่ ORIX ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นหลังจากวิกฤตทางการเงิน โดยสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 49.6% จาก 1.3 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2556 เป็น 2 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2557 การเพิ่มขึ้นอย่างมากของสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเกิดจากการควบรวมกิจการของ Robeco Groep N.V. ในรอบปีบัญชี 2557 โดย Robeco Groep เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ส่งผลให้สินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้นจาก 6.1 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2555 เป็น 7.3 ล้านล้านเยน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2557
นอกจากนี้ สินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจยังเพิ่มสูงขึ้นเป็น 9.3 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 หลังจากการควบรวมกิจการ โดย ORIX ได้เริ่มรวม Hartford Life Insurance K.K. เข้ามาในกลุ่มธุรกิจสำหรับลูกค้ารายย่อยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของรอบปีบัญชี 2558 จากจำนวนสินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 สินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจสำหรับลูกค้ารายย่อยคิดเป็น 39.9% ของสินทรัพย์รวมตามกลุ่มธุรกิจ ตามด้วยกลุ่มธุรกิจต่างประเทศที่ 24.8% กลุ่มธุรกิจให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ 12.1% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9% กลุ่มธุรกิจลีสซิ่งแบบเช่าบำรุง 7.6% และกลุ่มธุรกิจการลงทุนและการดำเนินงาน 6.7%
การกระจายความหลากหลายของธุรกิจช่วยให้ ORIX สามารถหลีกเลี่ยงการมีผลประกอบการขาดทุนได้แม้ในช่วงวิกฤตทางการเงิน โดยในรอบปีบัญชี 2552 แม้ว่าผลประกอบการทางการเงินจะลดลงอย่างมาก แต่ ORIX ก็ยังคงมีกำไร โดยมีกำไรสุทธิที่ 20.7 พันล้านเยน ลดลงจาก 168.5 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2551 กำไรสุทธิของบริษัทเริ่มฟื้นตัวหลังจากหันไปเน้นในกลุ่มธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 36.5 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2553 เป็น 111.9 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2556 กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบปีบัญชี 2557 โดยมีกำไรสุทธิที่ 187.4 พันล้านเยน และเพิ่มขึ้น 25% เป็น 234.9 พันล้านเยนในรอบปีบัญชี 2558 และเป็น 81.5 พันล้านเยนสำหรับไตรมาสแรกของรอบปีบัญชี 2559 อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 0.99% ในรอบปีบัญชี 2555 เป็น 2.9% ในช่วงไตรมาสแรกของรอบปีบัญชี 2559 ORIX ดำรงนโยบายด้านสภาพคล่องที่เข้มงวดโดยการรักษาเงินสดและวงเงินกู้แบบผูกพันการให้กู้ที่สามารถใช้ได้อย่างเพียงพอต่อการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นที่สามารถซื้อขายหรือโอนเปลี่ยนมือได้ โดยอัตราส่วนเงินสดและวงเงินกู้ต่อหนี้สินระยะสั้นที่สามารถซื้อขายหรือโอนเปลี่ยนมือได้อยู่ที่ระดับ 386% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558
แนวโน้มที่ดีในธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์และการให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานในประเทศไทยทำให้ ORIX มุ่งเน้นขยายธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้นโดยผ่านบริษัทลูกคือบริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง บริษัทไทยโอริกซ์ ลีสซิ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ในประเทศไทย บริษัทก่อตั้งในปี 2521 โดยความร่วมมือระหว่าง ORIX บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัทฯ) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลายครั้งเนื่องจากการควบรวมและการควบรวมกิจการของผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย ในปี 2553 ORIX ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในประเทศไทยโดยการควบรวมบริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งและบริษัทที่ให้บริการเช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานคือ บริษัท โอริกซ์ ออโต้ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่แต่ยังคงใช้ชื่อบริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งเป็นชื่อของนิติบุคคลใหม่ดังกล่าว ปัจจุบัน ORIX ถือหุ้น 96.6% ในบริษัท ส่วนหุ้นที่เหลือ 3.4% ถือโดยบริษัทกรุงเทพประกันภัย
ธุรกิจหลักที่บริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งให้บริการประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์และธุรกิจการให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2558 บริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งมีสินทรัพย์ดำเนินงานซึ่งประกอบไปด้วยสินเชื่อหรือลูกหนี้จากธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์และสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิจากธุรกิจการให้เช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานจำนวน 17,610 ล้านบาท สินทรัพย์ดำเนินงานเพิ่มขึ้น 14% ในรอบปีบัญชี 2558 โดยสินทรัพย์จากธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์คิดเป็นประมาณ 63% ของสินทรัพย์ดำเนินงานรวม ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิ 487 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2556 เพิ่มขึ้นจาก 234 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2555 ในรอบปีบัญชี 2557 ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคารถยนต์มือสอง ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับลดลงเหลือ 198 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2557 การลดลงของราคารถยนต์มือสองได้ส่งผลต่อเนื่องมายังผลประกอบการทางการเงินในรอบปีบัญชี 2558 โดยบริษัทมีกำไร 195 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2558 ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของสินเชื่อให้เช่าแบบลีสซิ่งสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 3.7% ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2554 เป็น 1% ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2557 ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.4% ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2558 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าว ณ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่คาดว่าบริษัทสามารถจัดการได้
ORIX ได้แสดงความตั้งใจในการให้การสนับสนุนแก่บริษัทไทยโอริกซ์ลีสซิ่งทั้งในด้านธุรกิจและการเงิน ซึ่งรวมทั้งการให้ความรู้ในด้านธุรกิจ แนวปฏิบัติในการบริหารจัดการความเสี่ยงและการดำเนินงาน ตลอดจนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วย ทั้งนี้ การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่คาดว่าจะมีอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต บริษัท ไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง จำกัด (TOLC) อันดับเครดิตตราสารหนี้: TOLC15NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 AA+ TOLC16NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 AA+ TOLC17NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 650 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 AA+ TOLC184A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 AA+ TOLC204A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 AA+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit