ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) แถลงถึงแผนงานในช่วงที่เหลือของปี 2558 ว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงมีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯในระดับบน เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีอยู่ และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากนัก ซึ่งต่างจากตลาดในระดับล่างที่ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และสถาบันการเงินมีมาตรการคุมเข้มในการปล่อยกู้ ซึ่งเห็นได้จากยอดปฏิเสธสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาที่เริ่มมีสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ โดยรวมยังคงมีโอกาสเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากถือเป็นปัจจัยสี่ แม้อาจชะลอการตัดสินใจซื้อไปบ้างในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี อีกทั้งในปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากกว่า 1 แห่ง ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด ขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มยังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อกล้าที่จะตัดสินใจซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัย หรือเพื่อการลงทุน
"ครึ่งปีที่ผ่านมา เราเปิดโครงการไปแล้ว 4 โครงการโดยดำเนินนโยบายตามกลยุทธ์ที่เรียกว่า "ไฟนีออน" ที่ส่องสว่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าทิศทางของธุรกิจ จะเน้นความชัดเจนเรื่อง Branding และ Segmentation และสามารถเปิด-ปิด หรือปรับตัวได้สอดคล้องกับสถานการณ์ เห็นได้จากในปีนี้เราหันมารุกตลาดลูกค้าในระดับ B+ และปรับตัวด้วยการเปิดโครงการในแนวราบเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง หลังตัวเลขหนี้ครัวเรือนมีอัตราสูงขึ้น และแบงก์คุมเข้มในการปล่อยกู้" ผศ.ดร.เกษรากล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 2.5-2.6 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท หลังจากเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ไปแล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมียอดจองแล้ว 40% และในเดือนกันยายนนี้ ได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นอีก 5% เพื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับซื้อที่ดินจำนวน 800 ล้านบาท ในปีนี้ ได้ใช้ไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งบริษัทได้นำไปใช้ซื้อที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า และในช่วงที่เหลือของปีนี้จะชะลอการซื้อที่ดิน เนื่องจากบริษัทต้องการเก็บกระแสเงินสดไว้ลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคตด้วยผศ.ดร.เกษรา กล่าวถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ว่า คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ จะได้ข้อสรุปในการเข้าไปเป็นถือหุ้นรายใหญ่ในกิจการของบริษัทวางระบบวิศวกรรม (EPC) โซลาร์รูฟท็อป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาสัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นของทั้ง 2 ฝ่าย "การเข้าไปเป็นถือหุ้นรายใหญ่ในกิจการ EPC ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจโซลาร์รูฟฯ และบริษัทจะมีรายได้พิเศษเสริมเข้ามาจากการรับงานติดตั้งโซลาร์รูฟฯให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย และเป็นการตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าของเสนาฯแบบ 360 องศา เพราะลูกค้าโครงการของเสนาฯ ที่สนใจติดตั้งโซลาร์รูฟฯ จะได้รับการบริการที่ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง การให้บริการหลังการขาย ซึ่งทำให้สบายใจได้ว่า หลังจากติดตั้งโซลาร์รูฟฯ ของเสนาฯแล้วจะไม่มีปัญหาในอนาคต และที่สำคัญยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านกับเราอีกด้วย"ผศ.ดร.เกษรากล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่บริษัทร่วมทุนกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 46.5 เมกะวัตต์ จำนวน 2 แห่ง คาดว่าจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 60-70 ล้านบาท/เมกะวัตต์ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ติดตั้งบนหลังคาโกดังเก็บสินค้าของบริษัทที่สุขุมวิทไปแล้ว โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 750 กิโลวัตต์ ซึ่งจะทำให้ปีนี้จะรับรู้รายได้จากการขายไฟจากโครงการดังกล่าวเข้ามาประมาณ 3.5 ล้านบาท และในปี 2559 จะรับรู้เต็มปีเป็นจำนวน 7 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2558 จะมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 85% รายได้จากค่าเช่า 10% และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์อีก 5%
อนึ่ง คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 351.76 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 882.75 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 262.76 ล้านหุ้น และเสนอขายให้กับบุคคลเฉพาะเจาะจง (PP) 87.59 ล้านหุ้น โดยบริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมก่อนจนผู้ถือหุ้นเดิมไม่มีความต้องการซื้อหุ้นแล้วจึงจะดำเนินการขายให้บุคคลเฉพาะเจาะจง
อย่างไรก็ตาม แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวจะต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนกันยายน 2558 ที่จะถึงนี้ โดยวัตถุประสงค์หลักของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อไว้ใช้ในการลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท