ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แผนงานของบริษัทในปี 2558 เมย์แบงก์มุ่งเป็นกองทุนที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางการลงทุนผ่านการลงทุนต่างประเทศ โดยมีแผนงานขยายฐานการกระจายสินค้าสู่นักลงทุน เช่น เพิ่มจำนวนตัวแทนขาย (Selling Agent) อีกเท่าตัวจากปัจจุบันมีตัวแทนขายที่เป็นสถาบันทั้งหมด 7 ราย นอกจากนี้ บริษัทมีแผนออกกองทุนใหม่อีก 5 กอง เช่น กองทุนตราสารทุนในประเทศ ตราสารการเงินต่างประเทศและกองทุนอีทีเอฟ เป็นต้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารไว้ที่ 6,000 พันล้านบาท
"ผมเชื่อว่า การที่เมย์แบงก์มีพันธมิตรที่แข่งแกร่งโดยเฉพาะตัวแทนขาย ประกอบกันผลิตภัณฑ์กองทุนที่มีศักยภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น จะดึงดูดความสนใจและผลักดันให้แผนงานเป็นไปตามเป้าหมาย 5 ปีที่วางไว้ได้" ดร.ตรีพลกล่าว
สำหรับแผนการออกองทุนใหม่นั้น บริษัทจะให้ความสำคัญในการเลือกกองทุนที่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอน โดยจะเน้นกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ และมีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ภายใต้ความผันผวนที่เหมาะสม สำหรับกองทุนตราสารทุนในประเทศ จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตในช่วงราคาที่เหมาะสม และสำหรับกองทุนอีทีเอฟ เรายังคาดว่าจะออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มเสนอขายกองทุนรวมกองแรกของปีภายในเดือนพฤษภาคมนี้
"กองทุนอีทีเอฟต่างประเทศทั้ง 4 กองทุนของบริษัทที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ถือว่าผลงานดีกว่าตลาด หากเทียบจากราคาปัจจุบันพบว่า กองทุน MJP (ญี่ปุ่น) ผลตอบแทนอยู่ที่ 5.44%* และกองทุน MEM (ตลาดเกิดใหม่) 1.72%* ขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย 0.35%* แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการกระจายการลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาว เมย์แบงก์จะไม่หยุดนิ่งในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่แตกต่างเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักลงทุน" (* ตั้งแต่จัดกองทุน 15 ธ.ค.2557 - 20 ก.พ.2558)
นอกจากนั้นในด้านของ กองทุนส่วนบุคคลยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้ามีความต้องการสูง ในปีที่ผ่านมานักลงทุนจำนวนมากไว้วางใจให้เมย์แบงก์บริหารเงินกองทุนเพิ่มขึ้น โดยในปี 2558 บริษัทมีแผนที่จะทำการพัฒนาระบบสารสนเทศซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดร.ตรีพล กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในปี 2558 ว่าจากนี้ถึงปลายปี ทิศทางตลาดหุ้นไทย น่าจะ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก เนื่องจากตลาดรอความชัดเจนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และราคาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงและยังได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนจะยังเติบโตได้ดีจากผลประกอบการที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาและราคายังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการในปีนี้ สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจคงเป็นตลาดญี่ปุ่น เพราะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของอาเบะ แต่ความผันผวนของค่าเงินยังเป็นปจจัยเสี่ยงสำหรับการลงทุนในประเทศดังกล่าว รวมถึง หุ้นในตลาดเกิดใหม่ สหรัฐ ยุโรป และไทย ตามลำดับ ส่วนการลงทุนตราสารหนี้นั้นน่าที่จะมีอัตราผลตอบแทนที่ดีขึ้นหลังไตรมาส 3 ของปีนี้
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำหรับการลงทุน 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม ได้แก่ 1. ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐและการทำคิวอีของญี่ปุนและยุโรป ซึ่งจะทำให้ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้น 2. ปัญหาในยุโรปและกระบวนการแก้ไขปัญหาของกรีก จะทำให้ประเทศอื่นนำไปเป็นตัวอย่างหรือไม่ 3. เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นหรือไม่ จากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังราคาพลังงานลดลง 4. ราคาน้ำมันที่ลดลงในปจจุบันทำให้รัฐบาลและธนาคารกลางต่างๆมีช่องที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่กระทบต่อเงินเฟอมากนัก แต่ในครึ่งปีหลังถ้าน้ำมันปรับตัวขึ้นไปแตกระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรล เครื่องมือทางการเงินที่จะประคับประคองเศรษฐกิจจะมีน้อยลง 5. ปญหาความวุ่นวายและการปะทะในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มไอเอส อาจลุกลามไปมากกว่านี้ได้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit