ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร และแนวโน้ม “บ. สามารถเทลคอม” ที่ “BBB+/Stable”

30 Jan 2015
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้านเครือข่ายสื่อสารและการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการรับงานโครงการภาครัฐ รวมทั้งการมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาให้บริการ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความผันผวนของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบและภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงโอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันประมูลงานโครงการภาครัฐ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่ควรสูงกว่า 60% เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเพื่อคงคุณภาพเครดิตเอาไว้

ความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าโดยพิจารณาจากการเติบโตของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในกรณีที่บริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีการลงทุนและต้องก่อหนี้จำนวนมาก หรือผลการดำเนินงานของธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถืออ่อนตัวลง

บริษัทมีโอกาสได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในกรณีที่บริษัทมีรายได้จากการให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษา และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับ 26%-30% และคงอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 40% ได้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทสามารถเทลคอมก่อตั้งในปี 2529 โดยกลุ่มตระกูลวิไลลักษณ์ บริษัทดำเนินธุรกิจติดตั้งโครงข่ายสื่อสารและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร รวมทั้งให้บริการด้านโครงข่ายและระบบสื่อสาร ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2557 บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 70% โดยบริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทที่ลงทุนในกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและโครงข่าย รวมทั้งให้บริการด้านวิศวกรรม

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ครบวงจร บริษัทมีผลงานเป็นที่ยอมรับในโครงการที่หลากหลาย นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจยังสะท้อนถึงรายได้ที่สม่ำเสมอจากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษา โดยปกติแล้วสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาจะมีระยะเวลา 3-5 ปี แต่ส่วนใหญ่จะมีการต่อสัญญาออกไป ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5,100 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนของรายได้จากสัญญาให้บริการ 47% ความเสี่ยงของบริษัทมาจากผลประกอบการที่ผันผวนจากธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีขนาดมูลค่าโครงการแตกต่างกัน ในขณะที่การดำเนินงานก็มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและความไม่ต่อเนื่องในการจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐ ปัญหาทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้โครงการภาครัฐหลายโครงการล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลต่อบริษัทไม่มากโดยพิจารณาจากโครงการที่บริษัทดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศ

ณ สิ้นปี 2557 มูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัท (Backlog) คาดว่าจะอยู่ที่ 7,100 ล้านบาท โดยมูลค่างานประมาณ 2,900 ล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2558 และที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่จะทยอยรับรู้ในปี 2559-2560 นอกจากนี้ สัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่กำลังจะหมดอายุในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าก็คาดว่าจะได้รับการต่อสัญญาต่อไป ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปีในปี 2558-2560 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษายังจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบอีกด้วย

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ภายใต้ประมาณการพื้นฐานอยู่ที่ 7,300 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาถึงโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) สูงกว่า 22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่มีอัตราส่วนกำไรสูง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 23% ในช่วงระหว่างปี 2558-2560 และคาดหมายว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2558-2560

บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ดีขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ 3 จีของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และระยะเวลาการชำระเงินของโครงการของ บริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด ที่ปรับตัวดีขึ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 56.8% ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะไม่สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันในช่วงระหว่างปี 2558-2560 โดยพิจารณาจากแผนการลงทุนและแหล่งเงินทุนของบริษัท โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนราว 3,100 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2560 ซึ่งได้รวมโครงการใหญ่ ๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทจะได้ดำเนินการในช่วงดังกล่าว รวมทั้งโครงการ Advance Passenger Processing System (APPS) ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย

บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่ดี โดยในระยะ 12 เดือนข้างหน้า แหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 1,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทยังมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดจำนวน 700 ล้านบาทและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่อีกประมาณ 5,000 ล้านบาทด้วย เงินจำนวนดังกล่าวเพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผนของบริษัทประมาณ 2,000 ล้านบาทและชำระคืนหนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ในระยะกลาง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 6 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 25% โดยเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี 2558-2560 บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) อันดับเครดิตองค์กร: BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable