นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ต่อยอดและพัฒนาสินค้าอาหารทะเลซึ่งบริษัทแม่(บริษัท ยูเนี่ยน โฟรเซน โปรดักส์ จำกัด) มีแหล่งวัตถุดิบอยู่แล้ว จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาดขนมขบเคี้ยว แม้ว่าธุรกิจสแน็กมีขนาดใหญ่และมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก มีมูลค่าตลาดโดยรวมในแต่ละปีประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 7-10% ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสแน็กที่ทำมาจากพืช ประเภท มันฝรั่ง สาหร่าย ถั่ว และ ข้าว ส่วนขนมประเภทที่นำเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลมาเป็นส่วนประกอบมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปของปลาเส้น แต่ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่นำเนื้อปลาแท้ๆมาแปรรูปเป็นขนมที่ใช้นวัตกรรมการอบแล้วนำมาชุบแป้งทอดสไตล์เทมปุระของญี่ปุ่น แต่ใช้เทคโนโลยีการทอดด้วยไอน้ำซึ่งไม่อมน้ำมัน จึงดีต่อสุขภาพ ซึ่งบริษัทได้ทุ่มงบประมาณนำเข้านวัตกรรมเครื่องจักรแบบใหม่นี้มาจากประเทศญี่ปุ่น มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท เริ่มกระบวนการตั้งแต่การทำเนื้อปลาเป็นแผ่น อบกรอบด้วยลมร้อนเพื่อให้ได้ความหอมและคุณประโยชน์แบบดั้งเดิม ชุบแป้งด้วยระบบอัตโนมัติ นำสู่กระบวนการทอดด้วยระบบไอน้ำที่ไม่อมน้ำ บรรจจุซองอัตโนมัติ ซึ่งมีกำลังผลิตได้ถึง 1 ล้านซองต่อเดือน
สำหรับคอนเซปต์ของ “นิจิ” มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สายรุ้ง ซึ่งนอกจากจดจำได้ง่ายแล้วยังสร้างความรู้สึกสนุกสดใส ซึ่งสอดคล้องกับตัวสินค้าเป็นอย่างดี และยังได้ถูกพัฒนามาจากพฤติกรรมของคนญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะชอบรับประทานขนมแต่กลับมีสุขภาพดี มีอายุยืนยาว เนื่องจากคนญี่ปุ่นชอบรับประทานปลานั่นเอง บริษัทจึงได้นำมาเป็นคีย์แมสเซสในการสื่อสารไปยังผู้บริโภค โดยเป็นการใช้ Emotional Marketing สร้างสตรอรี่ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าการรับประทานขนมไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือไม่ดีต่อสุขภาพ หากรู้จักการเลือกขนมที่มีประโยชน์ เช่นเดียวกับ นิจิ ที่ไม่ใช่สแน็กที่เน้นความอร่อยเพียงอย่างเดียว ยังให้โปรตีนจากปลาแท้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ รสต้นตำรับผสมสาหร่าย และรส สวีท ชิลลี่ จำหน่ายในราคา 5 , 10 , 20 และ 30 บาท
“เราอยากให้นิจิ แตกต่างจากสินค้าเดิมที่มีอยู่ในตลาด เมื่อผู้บริโภคได้ลองรับประทานตั้งแต่ครั้งแรกจะรู้เลยว่าแตกต่างด้วยผิวสัมผัสของเนื้อปลาที่ถูกอบ และมีเทกเจอร์ของแป้งที่ฟูกรอบสไตล์เทมปุระเคลือบเนื้อปลาอยู่ มีกลิ่นไอของความเป็นญี่ปุ่น แต่ปรุงรสชาติที่กลมกล่อมเข้มข้นตามแบบที่คนไทยชอบ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับขนมอย่างอื่นที่มีอยู่ในตลาด เรามั่นใจว่านิจิจะตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย ทั้งเรื่องรสชาติและความเพลิดเพลินในการรับประทานได้เป็นอย่างดี ”
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายของ นิจิ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ โมเดิร์นเทรด ซึ่งบริษัทฯมองว่ากลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อ เน้นจำหน่ายสินค้าในราคา 20 และ 30 บาท ส่วนรากหญ้าต่างจังหวัดทั่วประเทศเป็นการขายให้ลูกค้าตามแหล่งชุมชน จึงเน้นสินค้าในราคาประหยัด คือราคา 5 และ 10 บาท โดยมีการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศผ่านทาง บริษัท พรีเมียร์ มาร์เกตติ้ง
สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดของ นิจิ เนื่องจากเป็นสินค้าน้องใหม่ จึงเน้นการสร้างประสบการณ์ตรงให้ผู้บริโภค ณ จุดขาย ทั้งการลด แลก แจก แถม แบบเต็มพิกัด เพราะเชื่อมั่นในตัวสินค้าว่าถ้าได้เกิดการลองชิมในครั้งแรก จะนำมาสู่การซื้อซ้ำตามมา เราจึงมั่นใจในการแจกฟรีครั้งแรก โดยจัดทำเป็นกองคาราวานไปแจกจ่ายตามชุมชน จุดที่มีการจราจรคับคั่ง ทั้งโรงเรียน สวนสาธารณะ และสถานที่สาธารณะต่างๆทั่วประเทศ
“เราได้จัดแคมเปญ “ชู 5 บาท ฉลาดเลือก นิจิ” โดยเน้นทำกิจกรรมการตลาดกับกลุ่มนักเรียน ตามชุมชนและหน้าโรงเรียน จากการสำรวจตลาดของเราพบว่าขนมในราคานี้ ส่วนใหญ่มักมีคุณภาพต่ำ เช่นใส่สีหรือมีส่วนประกอบที่ไม่มีประโยชน์ มีความเสี่ยงในระยะยาวต่อเด็กๆสูง บริษัทฯจึงอยากตอกย้ำเรื่องการเป็นขนมที่ทำจากปลาแท้ได้โปรตีนในราคาเบาๆเพียง 5 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เด็กๆซื้อหามารับประทานได้ง่าย เป็นขนมที่อร่อยและให้ประโยชน์ จึงเป็นทางเลือกใหม่ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยปีแรกนี้ซึ่งเป็นช่วงแนะนำตัว สร้างชื่อแก่ผู้บริโภค บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาท ทั้งจากโมเดิร์นเทรดและรากหญ้าในสัดส่วน 50:50 โดยถือเป็นสัดส่วน 0.5%ของตลาดรวม” คุณอนุรัตน์กล่าวทิ้งท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit