แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า ชสอ. จะสามารถรักษาบทบาทที่สำคัญในขบวนการสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่า ชสอ. จะสามารถรักษาระดับฐานเงินทุนภายในที่ได้รับจากสมาชิกไว้ได้ พร้อมทั้งมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเพื่อสามารถให้ผลตอบแทนคืนสู่สมาชิกในระดับที่น่าพอใจ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตถูกจำกัดการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของขบวนการสหกรณ์ออมทรัพย์ ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงใดใดไม่ว่าจะเป็นการมีนโยบายดำเนินงานในเชิงรุกมากขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจากทางการที่จะลดทอนสิทธิพิเศษของสหกรณ์ออมทรัพย์ก็อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของ ชสอ. ได้
ชสอ. ก่อตั้งในปี 2515 โดยการริเริ่มของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยและสหกรณ์ออมทรัพย์จำนวน 81 แห่ง ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สหกรณ์ ชสอ. จัดเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในขั้นทุติยภูมิ โดยที่สหกรณ์ออมทรัพย์ในขั้นปฐมภูมิจะเป็นสมาชิกของ ชสอ. ปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากขนาดของสินทรัพย์และจำนวนสมาชิกแล้ว ชสอ. จัดเป็นชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้ง 9 แห่งในประเทศไทย ชสอ. ได้รับสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่สหกรณ์ออมทรัพย์ในขั้นปฐมภูมิได้รับ ชสอ. ให้บริการทางการเงินแก่สหกรณ์สมาชิกซึ่งรวมถึงการรับฝากและการให้กู้ยืมเงิน นอกจากนี้ ชสอ. ยังมีบทบาทสำคัญต่อขบวนการสหกรณ์ในระดับชาติด้วย โดยมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อที่จะช่วยสนับสนุน ส่งเสริม วางแผน และพัฒนาสหกรณ์ออมทรัพย์ในประเทศไทย
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ชสอ. มีเงินให้กู้ยืมแก่สหกรณ์สมาชิกเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดหรือ 62.7% ของสินทรัพย์รวมของ ชสอ. เงินให้กู้ยืมแก่สหกรณ์สมาชิกอยู่ในระดับ 58%-66% ของสินทรัพย์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 1 ใน 3 หรือ 32.5% ของสินทรัพย์รวมเป็นเงินลงทุน และส่วนที่เหลืออีก 4.8% เป็นเงินสดและสินทรัพย์อื่น ๆ ชสอ. มีนโยบายให้กู้ยืมทั้งแก่สหกรณ์ที่เป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิก แต่จะให้สิทธิพิเศษแก่สหกรณ์สมาชิกก่อนหากความต้องการกู้ยืมจากสมาชิกมีมาก ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 เงินให้กู้ยืมแก่สหกรณ์สมาชิกมีจำนวน 44,779 ล้านบาท ชสอ. ให้กู้ยืมแก่สหกรณ์สมาชิกเพียง 272 รายจากจำนวนสหกรณ์สมาชิกทั้งหมด 1,042 ราย ส่งผลให้ ชสอ. มีความเสี่ยงจากการการกระจุกตัวในเงินให้กู้ยืมแก่สมาชิก เงินให้กู้ยืมแก่สมาชิก 20 อันดับแรกคิดเป็น 50.3% ของเงินให้กู้ยืมรวม ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2552 หรือ 31 มีนาคม 2553 และอยู่ที่ระดับ 35.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลง แต่ ณ ปัจจุบันระดับดังกล่าวก็ถือว่าค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของเงินให้กู้ยืมลดทอนลงจากการที่ ชสอ. มีคุณภาพเงินให้กู้ยืมในระดับที่สูง
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ชสอ. มีเงินให้กู้ยืมที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพียง 8.6 ล้านบาท คิดเป็น 0.02% ของเงินให้กู้ยืมรวม เงินให้กู้ยืมแก่สหกรณ์สมาชิกของ ชสอ. ที่มีคุณภาพดีนั้นได้รับผลพลอยได้จากกลไกการชำระคืนหนี้อัตโนมัติและสิทธิพิเศษทางกฎหมายที่มีให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ในขั้นปฐมภูมิ ชสอ. ยังมีเกณฑ์และแนวทางที่เข้มงวดในการพิจารณาเงินให้กู้ยืมแก่สมาชิกด้วย จากกรณีที่มีการทุจริตครั้งใหญ่ในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งหนึ่ง ชสอ. ไม่มีรายการธุรกรรมทางตรงกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่มีปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ชสอ. มีเงินให้กู้ยืมจำนวนเงินรวม 4,728 ล้านบาทแก่สหกรณ์สมาชิก 15 แห่งซึ่งมีธุรกรรมกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนดังกล่าว โดยจำนวนเงินดังกล่าวคิดเป็น 10.6% ของเงินให้กู้ยืมคงค้าง ซึ่งทั้ง 15 บัญชีดังกล่าวยังได้รับการจัดชั้นให้เป็นหนี้ปกติ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ชสอ. เผชิญกับอุปสรรคในการระดมเงินทุนในด้านของเงินฝากและเงินกู้ยืมจากสมาชิกโดยผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน กล่าวคือเงินฝากและเงินกู้ยืมผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินในรอบปีบัญชี 2554-2556 เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% 5.6% และ 1.9% ตามลำดับ เทียบกับอัตราการเติบโตที่มากกว่า 10% ในช่วงรอบปีบัญชี 2551-2553 ชสอ. ได้ระดมทุนเพิ่มเติมผ่านการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างมากในช่วงรอบปีบัญชี 2554-2556 โดยเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจาก 7,825 ล้านบาท ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2551 เป็น 15,665 ล้านบาท ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2556 หรือคิดเป็น 25% ของสินทรัพย์รวม แม้ว่าอัตราส่วนของเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์จะลดลงมาที่ 27% ของหนี้สินรวม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 อัตราส่วนดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ เงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าเงินทุนขนาดใหญ่ที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินจะมีความเสี่ยงด้านการกู้ยืมต่อมากกว่าการใช้เงินฝากและการกู้ยืมจากสหกรณ์สมาชิกเป็นแหล่งเงินทุน การมีสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นจากภายนอกที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ ชสอ. มีความเสี่ยงด้านการกู้ยืมต่อเมื่อถึงกำหนดและความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง โดยความเสี่ยงจะมีค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านลบในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์หรือระบบเศรษฐกิจ เงินทุนระยะสั้นที่มากขึ้นก็ส่งผลให้ ชสอ. มีส่วนต่างระหว่างระยะเวลาครบกำหนดของสินทรัพย์และหนี้สินที่เป็นลบมากขึ้น ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ประมาณ 30% ในสินทรัพย์ของ ชสอ. เป็นสินทรัพย์ระยะยาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนที่ไม่มีกลไกในการปรับอัตราดอกเบี้ยได้ ชสอ. จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในระดับหนึ่งด้วย
ในด้านของเงินฝาก ชสอ. ไม่มีการฝากเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ชสอ. มีเงินรับฝากจำนวน 2,923 ล้าบาท จากสหกรณ์สมาชิกจำนวน 30 รายซึ่งมีธุรกรรมกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนดังกล่าว จำนวนเงินดังกล่าวคิดเป็น 9.4% ของเงินฝากรวม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ขณะเดียวกัน ชสอ. มีสินทรัพย์สภาพคล่องสูง ซึ่งได้แก่ เงินสด เงินฝากธนาคาร และเงินลงทุนระยะสั้น จำนวน 6,355 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ซึ่งเพียงพอสำหรับการลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากเงินฝากจำนวนดังกล่าว นอกจากนี้ ชสอ. สามารถระดมทุนโดยการรับฝากเงินเพิ่มขึ้นจาก 23,113 ล้านบาท ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2556 เป็น 31,147 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557
ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนและต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นจึงช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไรให้เพิ่มขึ้น โดยกำไรสุทธิของ ชสอ. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 543 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2553 เป็น 913 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.1% ในรอบปีบัญชี 2553 เป็น 1.5% ในรอบปีบัญชี 2556 อัตราผลตอบแทนต่อทุนของ ชสอ. โดยเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในรอบปีบัญชี 2553 เป็น 7.3% ในรอบปีบัญชี 2556 ในรอบปีบัญชี 2556 ชสอ. ได้ปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกเป็น 5.6% จาก 5.2% ในรอบปีบัญชี 2553
ทุนเรือนหุ้นของ ชสอ. ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเงื่อนไขข้อบังคับของ ชสอ. ที่กำหนดให้สหกรณ์สมาชิกจะต้องซื้อหุ้นของ ชสอ. เพิ่มเติมในสัดส่วนที่สอดคล้องกับทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์สมาชิก ในสถานการณ์ปกติ ทุนเรือนหุ้นของ ชสอ. คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่ทุนเรือนหุ้นของแต่ละสหกรณ์สมาชิกจะเพิ่มขึ้นอย่างอัตโนมัติจากกลไกปกติในการซื้อหุ้นเพิ่มรายเดือนของสมาชิก ทุนเรือนหุ้นของ ชสอ. ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 6,257 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2552 เป็น 9,211 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2553 เนื่องจากมีการซื้อหุ้นเพิ่มเติมเป็นพิเศษจากสหกรณ์สมาชิกรายหนึ่งในรอบปีบัญชี 2553 หลังจากการซื้อหุ้นเพิ่มเป็นพิเศษในครั้งนั้น ทุนเรือนหุ้นก็ปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 2%-6% ต่อปีในช่วงรอบปีบัญชี 2554-2556 โดยทุนเรือนหุ้นของ ชสอ. อยู่ที่ระดับ 10,283 ล้าน บาท ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2556 ทุนของ ชสอ. (ซึ่งประกอบไปด้วยทุนเรือนหุ้น ทุนสำรองตามกฎหมาย ทุนสำรองตามข้อบังคับ กำไรหรือขาดทุนจากเงินลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น และกำไรสุทธิ) ก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 7,708 ล้านบาทในรอบปีบัญชี 2552 เป็น 12,805 ล้านบาท ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2556 อัตราส่วนทุนของ ชสอ. ต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ระดับ 20% ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่และก่อตั้งมานานซึ่งมีอัตราส่วนดังกล่าวที่ระดับประมาณ 40%ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด (FSCT)อันดับเครดิตองค์กร: A-แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit