นายพรวุฒิ สารสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย กล่าวว่า “สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยชื่นชมกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังที่ได้เร่งผลักดันร่างประมวลกฎหมายสรรพสามิตฉบับใหม่จนแล้วเสร็จ และเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในเร็ววันนี้ โดยตลอดขั้นตอนการพัฒนาร่างกฎหมายฉบับนี้ กรมสรรพสามิตได้เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นอย่างเปิดกว้าง ถือเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่งของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่ส่วนราชการต่างๆ ควรยึดเป็นแบบอย่างในการพัฒนากฎหมายอื่นๆ”
นายพรวุฒิกล่าวต่อไปว่า “ส่วนในประเด็นที่กฎหมายฉบับนี้ จะปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากเดิมที่เป็นฐานราคาหน้าโรงงานสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศและราคานำเข้า (ซีไอเอฟ)สำหรับสินค้านำเข้า มาเป็นฐานราคาขายปลีกแนะนำเหมือนกันทั้งหมดนั้น สมาคมฯ เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และเชื่อว่าจะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและผู้นำเข้า เนื่องจากต้องเสียภาษีบนฐานเดียวกัน ที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายกว่าเดิม สมาคมฯ จึงมีจุดยืนสนับสนุนการปรับเปลี่ยนตามแนวทางนี้มาโดยตลอด”
นายพรวุฒิ กล่าวต่อไปว่า “อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเปลี่ยนมาใช้ฐานราคาขายปลีกแนะนำจะเท่ากับเป็นการเพิ่มมูลค่าฐานภาษี เพราะเป็นราคาที่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่งและค่าการตลาด เข้าไปในการคำนวณภาษีด้วย การปรับเปลี่ยนแต่เฉพาะฐานภาษีในแนวทางดังกล่าว โดยไม่ปรับอัตราภาษีลดลงจะเท่ากับเป็นการขึ้นภาษี ซึ่งไม่สอดคล้องกับสิ่งที่กรมสรรพสามิตได้หารือกับผู้ประกอบการไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนากฎหมายว่าการปรับเปลี่ยนนี้เป็นเพียงการพัฒนากฎหมายให้ทันสมัยและเป็นธรรม มิได้มุ่งเพิ่มการจัดเก็บรายได้ นอกจากนี้ ยังไม่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมราคาสินค้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคด้วย”
ทั้งนี้ แม้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะถูกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบนฐานว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยโดยกรมสรรพสามิต แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกจัดอยู่ในรายการสินค้าติดตามกำกับดูแลของกรมการค้าภายในเนื่องจากเป็นสินค้าที่ประชาชนนิยมบริโภคในวงกว้างและมีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งผู้ประกอบการได้ถูกร้องขอให้ช่วยตรึงราคาจำหน่ายมาอย่างต่อเนื่อง และการจะขยับขึ้นราคาแต่ละครั้งก็จะต้องแจ้งกรมการค้าภายในพร้อมส่งข้อมูลต้นทุนประกอบการพิจารณาก่อนทุกครั้ง
“หลายปีที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้ามาโดยตลอด เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายพี่น้องประชาชน ซึ่งสมาชิกสมาคมฯ ทุกรายก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่หากมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายภาษีสรรพสามิตตามแนวทางข้างต้น จนเท่ากับเป็นการขึ้นภาษีสรรพสามิตแล้ว ผู้ประกอบการทุกคนก็คงต้องกลับมาพิจารณากันอีกครั้งว่าจะยังสามารถตรึงราคาต่อไปได้หรือไม่ และหากจำเป็นต้องขึ้นราคา ก็คงต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ที่สุดแล้วภาระก็จะมาตกอยู่กับประชาชนที่จะต้องซื้อเครื่องดื่มในราคาที่สูงขึ้น และจะทำให้ภาระค่าครองชีพต้องสูงขึ้นในที่สุด ซึ่งหากรัฐบาลต้องการให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ ก็ขอให้พิจารณาเรื่องการปรับเปลี่ยนฐานและอัตราภาษีให้ไม่เป็นการเพิ่มภาระภาษีด้วย” นายพรวุฒิกล่าวสรุป