ทั้งนี้ ทรัพย์สินที่ TRUEIF จะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมมี 2 ส่วน ประกอบด้วย 1. สิทธิการเช่าระยะยาวเป็นเวลาไม่เกิน 20 ปี พร้อมสิทธิในการซื้อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ราคา 500 ล้านบาทเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่าตามเงื่อนไขที่กำหนดสำหรับใยแก้วนำแสง (fiber optic cable หรือ FOC) ระยะทาง 303,453 คอร์กิโลเมตร และ 2. สิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิที่เกิดจากการให้เช่าเสาโทรคมนาคม จำนวน 338 ต้น ไม่น้อยกว่า 11 ปี พร้อมรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวภายหลังจากวันครบกำหนดสัญญาเช่าข้างต้นและตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยภายหลังได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหน่วยคาดว่าจะสามารถเข้าลงทุนได้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้
นายสมิทธ์กล่าวว่า ภายหลังการลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมครั้งใหม่นี้กองทุน TRUEIF จะมีมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนสูงสุดไม่เกิน 87,375.53 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 73,375.53 ล้านบาท (อ้างอิงจากข้อมูลทางการเงินตามสถานการณ์สมมุติ สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 ถึง 31 มีนาคม 2559 โดยผู้สอบบัญชี) โดยในระยะยาว TRUEIF ยังมีโอกาสเติบโตอย่างมีศักยภาพมากขึ้น เนื่องจากขนาดทรัพย์สินที่ใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ทำให้เป็นที่น่าสนใจและมีโอกาสที่จะมีผู้เช่ารายอื่นมากขึ้น ส่งผลให้มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากรายได้ค่าเช่าจากผู้เช่าหลักคือกลุ่มทรูในปัจจุบันแล้ว ยังมีโอกาสได้รับค่าเช่าเพิ่มขึ้นในอนาคตจากผู้เช่าที่ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมรายอื่น นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้นอีกจากการนำใยแก้วนำแสงในส่วนที่ยังไม่มีผู้เช่าประมาณ 30% ของใยแก้วนำแสงที่ลงทุนทั้งหมดออกให้เช่าเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit