รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnvar/20150320/8521501482-a
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnvar/20150320/8521501482-b
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnvar/20150320/8521501482-c
โลโก้ - http://photos.prnasia.com/prnvar/20141111/8521406714LOGO
Solar Impulse 2 เป็นเครื่องบินที่นั่งเดียวทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ มีระยะห่างระหว่างปลายปีกสองข้างของเครื่องบินถึง 72 เมตร ซึ่งกว้างกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 747 ขณะที่มีน้ำหนักเพียง 2,300 กิโลกรัม เซลล์แสงอาทิตย์จำนวน 17,248 ชิ้นซึ่งติดตั้งอยู่ที่ปีกทำหน้าที่จ่ายไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว (17.5 CV ต่อชิ้น) ด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยในช่วงกลางวัน เซลล์แสงอาทิตย์จะชาร์จไฟใหม่ให้แบตเตอรีลิเธียม น้ำหนัก 633 กิโลกรัม เพื่อทำให้เครื่องบินสามารถบินในยามกลางคืนได้ และทำให้เครื่องบินมีอิสระแบบไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง
เครื่องบินลำนี้ออกเดินทางจากอาบูดาบีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม และจะแวะพัก 12 จุดตลอดเส้นทางอันได้แก่ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน เมืองอัมห์ดาบาดและพาราณสี ประเทศอินเดีย มัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ฉงชิ่งและนานกิง ประเทศจีน โดยหลังจากเหินฟ้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านทางฮาวาย Solar Impulse 2 จะบินข้ามผ่านสหรัฐ และแวะลงจอด 3 จุด คือที่เมืองฟีนิกซ์ เมืองใดเมืองหนึ่งในเขตมิดเวสต์ และท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ในนิวยอร์ก ซิตี้ และหลังจากที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก Solar Impulse 2 ก็จะเข้าสู่การเดินทางช่วงสุดท้าย โดยจะแวะพักที่ยุโรปใต้ หรือแอฟริกาเหนือ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังอาบูดาบี เครื่องบินลำนี้เดินทางด้วยความเร็วสูงสุดที่ 90-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความสูงของการบิน จึงใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 5 เดือน รวมระยะเวลาในการบิน 25 วัน
ชินเล่อร์ ซึ่งเริ่มดำเนินธุรกิจในเมียนมาร์มาตั้งแต่ปี 2542 ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ “นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ และเรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่มีจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกและหลงใหลความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเหมือนกัน โดยมีเป้าหมายเดียวกันที่จะเคลื่อนย้ายผู้คนได้อย่างปลอดภัยโดยใช้พลังงานน้อยลง” Jujudhan Jena ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจาร์ดีน ชินด์เล่อร์ กรุ๊ป กล่าว
เนื่องจากความต้องการด้านการเคลื่อนย้ายได้ขยายตัวขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้น การขับเคลื่อนสู่การใช้พลังงานสะอาดจากทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จึงได้รับความสนใจ ชินด์เล่อร์คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อระบบนิเวศ เป็นเวลาหลายทศวรรษที่เราออกแบบโซลูชั่นเพื่ออนุรักษ์ ประหยัด หรือนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ไม่เพียงเท่านี้เรายังเป็นผู้สนับสนุนมุมมองซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากทั่วโลกว่า ความยั่งยืนถือเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาอนาคตของเมืองที่ทันสมัย
ด้วยเหตุนี้ ชินด์เล่อร์ จึงได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เป็นการปฏิวัติวงการขึ้นมากมาย จนกลายมาเป็นผู้นำกระแส อาทิ ระบบ regenerative drive ซึ่งคืนพลังงานไฟฟ้ากลับไปที่กริด เทคโนโลยี traction media ซึ่งเปิดทางให้สามารถใช้เครื่องจักรที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง และเทคโนโลยี PORT ซึ่งได้รับรางวัลการันตีด้วยคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการสัญจรทั่วทั้งอาคาร
จากความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างวิศวกรของชินด์เล่อร์และทีมงานของโครงการนี้ จึงส่งผลสืบเนื่องโดยตรงให้เกิดการแลกเปลี่ยน พัฒนา และขัดเกลาความรู้จำนวนมาก บริษัทคาดว่าความก้าวหน้ามากมายในด้านการอนุรักษ์พลังงานผ่านความร่วมมือนี้ จะนำไปสู่การประยุกต์ใช้ลิฟต์รุ่นใหม่ๆในอนาคต
ผู้ก่อตั้ง Solar Impulse ยินดีกับการมีส่วนร่วมของชินด์เล่อร์ ซึ่งถือเป็นภาพสะท้อนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทต่างๆที่มองการณ์ไกลนั้นกำลังเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเชิงรุก ตลอดจนเล็งเห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมในการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน
“ความร่วมมือของเรากับ Solar Impulse เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างยาวนานของเราในการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อให้การเคลื่อนย้ายมีความยั่งยืน” Jujudhan Jena กล่าว “ความพยายามอย่างจริงจังของทีมวิจัยและพัฒนาของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ก่อกำเนิดเป็นโซลูชั่นสุดล้ำสมัยที่กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมขึ้นใหม่ เฉกเช่นเดียวกับความพยายามของทีมงานของ Solar Impulse”
เกี่ยวกับ Solar Impulse
สองนักบุกเบิกชาวสวิส ได้แก่ Bertrand Piccard (ประธาน) และ Andre Borschberg (ซีอีโอ) เป็นทั้งผู้ก่อตั้ง นักบิน และเป็นหัวใจสำคัญของ Solar Impulse เครื่องบินลำแรกที่สามารถบินตอนกลางวันและกลางคืนโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงหรือปล่อยมลภาวะ ซึ่งทั้งคู่มุ่งมั่นที่จะเดินทางรอบโลกด้วยเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ลำนี้เป็นครั้งแรกในปี 2558 โดยได้รับการสนับสนุนจากสี่พันธมิตรหลัก ซึ่งรวมถึงชินด์เล่อร์ Solar Impulse คือการเดินทางผจญภัยแสนพิเศษ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพาความรู้สึกอันแรงกล้ากลับคืนสู่หัวใจของการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ และมีวิสัยทัศน์เพื่อจุดประกายว่าเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้บุกเบิกได้ในชีวิตประจำวัน
เกี่ยวกับ ชินด์เล่อร์
ชินด์เล่อร์ กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2417 บริษัทเป็นผู้นำระดับโลกด้านลิฟต์ บันไดเลื่อน และบริการที่เกี่ยวข้อง โดยมีพนักงาน 54,000 คนปฏิบัติงานในกว่า 100 ประเทศ โซลูชั่นการเคลื่อนย้ายของชินด์เล่อร์ได้ขนย้ายผู้คนหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกทุกวัน และสนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนด้วยระบบขนส่งภายในอาคารที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ สำหรับอาคารที่พักอาศัยไม่กี่ชั้น ไปจนถึงอาคารพาณิชย์และตึกสูงเสียดฟ้าถึง 500 เมตร
จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ กรุ๊ป (JSG) มีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และดำเนินงานใน 12 ประเทศ/เขตการปกครองภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ฮ่องกง มาเก๊า มาเลเซีย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย ไต้หวัน และเวียดนาม JSG ออกแบบ วางแผนวิศวกรรม ติดตั้ง ซ่อมบำรุง และพัฒนาลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางเลื่อนทุกประเภทให้ทันสมัย รวมทั้งมุ่งนำเสนอบริการชั้นเยี่ยม และนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาสู่ภูมิภาค
สื่อมวลชนติดต่อ
Sherring Mak
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด
จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ กรุ๊ป
อีเมล: [email protected]
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20150320/8521501482-a
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20150320/8521501482-b
รูปภาพ - http://photos.prnasia.com/prnh/20150320/8521501482-c
โลโก้ - http://photos.prnasia.com/prnh/20141111/8521406714LOGO
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit