เปิดตัว“สุขุม เลาวัณย์ศิริ” นำทัพตั้งสภาเอสเอ็มอีไทย

12 Mar 2015
คณะภาคีก่อตั้งสภาเอสเอ็มอีฯ เปิดตัว“สุขุม เลาวัณย์ศิริ”เป็นประธานคนใหม่ คาดสภาปฏิรูปแห่งชาติ ออกพ.ร.บ.รองรับการจัดตั้ง “สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย” ได้ในไม่ช้านี้

นายสุขุม เลาวัณย์ศิริ อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตสส. 10 สมัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ในฐานะประธานคณะภาคีก่อตั้งสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยคนใหม่ โดยกล่าวว่า มีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากคณะภาคีก่อตั้งฯ เลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานฯ เพื่อเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนและผลักดันให้ภารกิจการจัดตั้ง “สภาเอสเอ็มอีไทย” บรรลุเป้าหมายเร็วที่สุด

โดยมีความทุ่มเทและมุ่งมั่นจะเสริมสร้างศักยภาพ หาลู่ทาง สร้างโอกาส ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและสากล ด้วยการวางพันธกิจหลัก 6 เรื่องด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับการแข่งขันในตลาดเออีซี ประกอบด้วย

1.ขอให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเรื่องความโปร่งใสของระบบ (Transparency) เนื่องจากเวลานี้ปัญหาของประเทศไทยคือระบบการปกครองและระบบกฎหมายที่เอื้อให้เกิดการคอร์รัปชันในทุกระดับ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม หากไม่แก้ปัญหาที่ระบบก่อน การพัฒนาด้านอื่นๆ ก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย

2.จะต้องสร้างแบรนด์ของประเทศไทย เพราะเวลานี้เมื่อนึกถึงประเทศสิงคโปร์ จะนึกถึงรัฐบาลโปร่งใส หรือพูดถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เราจะนึกถึงศูนย์กลางธุรกิจธนาคาร ส่วนญี่ปุ่น เราจะนึกถึงความมีระเบียบวินัยและศูนย์กลางอุตสาหกรรม แต่ถ้าพูดถึงไทย จะนึกถึงอะไร จากนี้ไปต้องกำหนดอนาคตของประเทศไทยให้ได้ว่า เราเป็นใคร และต้องสื่อสารให้ชัดเจนต่อคนทั่วโลก

3.การให้ความสำคัญเรื่องนวัตกรรม ที่ไทยควรผลักดันให้เป็นตัวนำในระบบเศรษฐกิจเพื่อสามารถก้าวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้

4.การพัฒนาเอสเอ็มอีในกลุ่มที่มีศักยภาพเพื่อเปิดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากเหลือเวลาไม่ถึง 1 ปี ก็จะเปิดเออีซีอย่างเต็มรูปแบบ การจะไปพัฒนาเอสเอ็มอีให้พร้อมภายใต้เวลาที่จำกัดนั้นเป็นไปได้ยาก จึงควรแยกการพัฒนาเอสเอ็มอีในกลุ่มที่มีศักยภาพออกมาส่งเสริมเป็นการเฉพาะโดยเลือกเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในจังหวัดต่างๆ และในคลัสเตอร์ต่างๆ มาส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวโดยพัฒนาเป็นแฟรนไชส์ สร้างแบรนด์สินค้า ปรับปรุงมาตรฐาน และพร้อมสำหรับการขยายทั้งภายในประเทศและขยายไปยังภูมิภาคอาเซียน

5.อยากให้รัฐบาลปกป้องอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการนำสินค้าไม่มีคุณภาพจากจีนเข้ามาตีตลาดโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเมลามีนและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก โดยขายในราคาดัมพ์ตลาด จนไม่สามารถแข่งขันได้ ที่สำคัญเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพรวมอยู่ด้วย ทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งทิ้งขยะ จึงต้องการให้ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ รวมไปถึงการรณรงค์ให้บริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย เพื่อลดปริมาณเงินไหลออกเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เอสเอ็มอี

6.เสนอให้รัฐจัดโครงการ "ปีอาเซียนท่องเที่ยวไทย" เพราะเนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยลดลง แต่ถ้าหากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นมาเที่ยวมากขึ้น กลุ่มเอสเอ็มอีก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยเพราะซัพพลายเชนที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านขายของฝาก ร้านอาหาร