นางสาวณัฐกานต์ กิจประสงค์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่าตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการสาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติ จะนำเสนอรายงานเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในวันนี้ (25 มี.ค.58) เห็นว่า ข้อเสนอในรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าวนอกจากจะไม่เป็นการปฏิรูปแล้ว ยังมีลักษณะถอยหลังเข้าคลอง ไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำ หรือสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพแต่อย่างใด อีกทั้งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ณัฐกานต์ กล่าวว่าการวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิรูปการคลังด้านสุขภาพขาดความรอบด้านและหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น จากการที่คณะกรรมาธิการฯตั้งประเด็นว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเติบโตเร็วกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปีนั้น คณะกรรมาธิการฯ มองข้ามปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ต้องหาหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพไปเพิ่มขึ้นมากในส่วนใด เช่น การที่เงินเดือนบุคคลกรเพิ่มร้อยละ 10 ทุกปี หรืออาจไปกระจุกที่ค่ายารักษาโรค ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมากใน 3 ระบบสุขภาพ รัฐจ่ายให้ระบบสวัสดิการข้าราชการ มากกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติถึง 6 เท่า และจ่ายให้กับคนงานในระบบระบบประกันสังคมน้อยมากการเหมารวมเช่นนี้จะทำให้เกิดภาพปัญหาที่พร่าเลือนและเสนอแนวทางปฏิรูปที่ผิดทาง
“คณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้มองปัญหาที่รัฐไม่มีกลไกการควบคุมราคายาที่มีประสิทธิภาพ, ไม่มีมาตรการกำกับเรื่องการตั้งราคายาต้นตำรับ หรือ การไม่สนับสนุนการใช้ยาชื่อสามัญ รวมถึงการผลักดันนโยบายการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติ ซึ่งอาจจะไปทำให้ภาพรวมทั้งด้านงบประมาณ บุคคลากรและคุณภาพด้านสาธารณสุขมีปัญหา” ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกล่าวนายธนพล ดอกแก้ว ชมรมเพื่อนโรคไต กล่าวในประเด็นเรื่องสัดส่วนการป้องกันโรคที่ระบุว่าน้อยมากเพียงร้อยละ 4.5เท่านั้น แต่ไม่ได้มองว่า นี่มาจากงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น ขณะที่ระบบสุขภาพอื่นๆกลับไม่มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องการป้องกันโรค ทั้งๆที่เป็นประเด็นสำคัญในการปฏิรูประบบการสาธารณสุขที่เน้น ‘สร้างนำซ่อม’
“ส่วนการเห็นปัญหาว่า ยังมีประชากรบางกลุ่มเข้าไม่ถึงการรักษาเป็นเรื่องที่ต้องมีแนวทางในการจัดการปัญหานี้ ที่ชัดเจน เช่น มีกลุ่มประชากรใดบ้าง และจะบริหารจัดการอย่างไร” ประธานชมรมเพื่อนโรคไต กล่าว
นางสาวณัฐกานต์ กิจประสงค์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า การที่คณะกรรมาธิการฯเสนอให้จัดตั้งNational Health Policy Board (NHB) ไม่ตอบโจทย์เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพที่เป็นโจทย์ใหญ่ของปัญหา, มีความซ้ำซ้อนกับกลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ขณะที่ภารกิจไม่ชัดเจน เพราะดูทั้งนโยบาย การเงิน และการบริการ หรือการเสนอให้สร้างกลไกในการกระจายค่าเหมาจ่ายรายหัวไปยังเขตสุขภาพโดยตรง โดยเขตสุขภาพทำหน้าที่เป็น Purchaser โดยมีกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่กำกับและประเมินผลนั้น แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการฯมไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของระบบสุขภาพต่างๆในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ใช่มีเพียงกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว
ข้อเสนอให้คำนวณค่าเหมาจ่ายรายหัวในระดับประเทศ เป็นระบบปลายปิด และการควบคุมค่าใช้จ่าย ควบคุมคุณภาพบริการ และความครอบคลุมของบริการโดยให้พื้นที่มีส่วนมากที่สุดนั้น ควรต้องทำเหมือนกันทุกกองทุนสุขภาพเพื่อการจัดการงบประมาณที่เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพสูงสุด
“ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการฯพูดให้ชัดว่า การเติมเงินเข้าสู่ระบบสุขภาพมีหลายช่องทาง โดยเน้น การใช้มาตราการภาษี ซึ่งต้องสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบการเสียภาษี และรัฐนำภาษีมาจัดเป็นรัฐสวัสดิการที่เป็นธรรมสำหรับคนทุกคน การสร้างระบบสำหรับผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ต้องมีความเป็นธรรมในด้านราคา และการสนับสนุนให้เข้าถึงบริการได้เมื่อเจ็บป่วยรวมถึงต้องจัดการลดความซ้ำซ้อนและยุ่งยากในการใช้สิทธิในแต่ละระบบหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะ กองทุนผู้ประสบภัยจากรถ” ประธานชมรมเพื่อนโรคไตกล่าว
กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณสุข และที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ปรับปรุงรายงานตามข้อเสนอและข้อสังเกตของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการสาธารณสุขอย่างแท้จริงต่อไปทั้งนี้ ผู้ที่มีรับจดหมายคือ นาวาอากาศเอกไพศาล จันทรพิทักษ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งได้กล่าวว่า จะทำให้ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯเป็นประโยชน์ที่สุด
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit