กองทุนรวม คนไทยใจดี มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมเงินจากผู้ลงทุนไปลงทุนในกิจการที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม 4 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) บรรษัทภิบาล (Good Governance) และต่อต้านคอร์รัปชั่น (Anti-Corruption) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน ภายใต้แนวคิดที่ว่า“กิจการที่มีกำไรและยั่งยืนต้องอยู่บนพื้นฐานของการประกอบธุรกิจ เพื่อยกระดับสังคมไทยอย่างแท้จริง” ดังนั้น กองทุนรวม คนไทยใจดี จึงจะใช้แนวคิดนี้ในการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่ยั่งยืน โดยจะเน้นการลงทุนหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือตลาดรองอื่นๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่นอกจากจะเป็นกิจการที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแล้ว ยังจะต้องเป็นกิจการที่ให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อสังคมทั้ง 4 ด้านข้างต้นด้วย
“นอกเหนือจากเป็นกองทุนรวมกองแรกที่มุ่งในเรื่องของ ESGC แล้ว กองทุนรวม คนไทยใจดี ยังเป็นกองทุนรวมกองแรกที่มอบรายได้ในการจัดการกองทุน 40% หรือเทียบเท่า 0.8% ของมูลค่าเงินกองทุน เพื่อสนับสนุนหรือลงทุนในโครงการสาธารณประโยชน์ต่างๆ อันเป็นการทำให้เงินทุกบาทของผู้ลงทุนมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดเลือกโครงการต่างๆ ที่จะได้รับการสนับสนุนนั้น จะมีคณะกรรมการพิจารณาโครงการที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้ลงทุนใน กองทุนรวม คนไทยใจดี จึงจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ และเป็นผู้ให้แก่สังคมได้ กองทุนนี้จึงเป็นการรวมคนที่มีแนวคิดของการให้ มาไว้ที่เดียวกันโดยลงทุนผ่านกองทุนเดียวกัน นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของการลงทุน ที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ คือให้แก่สังคมและรับจากโอกาสในการลงทุน” นางวรวรรณ กล่าว
กองทุนนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่เชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาวในกิจการดีๆ ที่รับผิดชอบต่อสังคมทั้ง 4 ด้าน (E, S, G, C) และต้องการให้ทุกบาททุกสตางค์ของเงินลงทุนของผู้ลงทุนมีส่วนร่วมสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้น ทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถรับความผันผวนระยะสั้นของราคาหน่วยลงทุนของกองทุนได้ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นโดยมีเป้าหมายคือผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเหมาะแก่นิติบุคคลที่ต้องการสนับสนุนโครงการที่สร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่สังคมไทยอีกด้วย
นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ มูลนิธิเพื่อ “คนไทย” เปิดเผยถึงสาเหตุที่มูลนิธิฯ เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนคนไทยใจดีว่า เพราะต้องการเห็นคนไทยทุกภาคส่วน รวมทั้งนักลงทุน มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคม ร่วมกันปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจขนาดใหญ่ที่อาศัยเพียงกำลังจากภาครัฐคงจะไม่สำเร็จ ภาคตลาดทุนเองก็สามารถช่วยได้ ถ้าดูจากเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 14 ล้านล้านบาทต่อปี เพียง 1% ของเงินจำนวนนี้ถูกแบ่งมาลงทุนเพื่อสังคม ยิ่งจะช่วยทำให้เงินลงทุนอีก 99% นั้น เป็นทุนที่ยั่งยืน เติบโตต่อไปได้อีก
ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ และสถาบันเช้นจ์ ฟิวชัน จึงได้เสนอแนวคิดนี้ต่อทีม บลจ.บัวหลวง ร่วมกันออกแบบกลไกเป็นกองทุนรวมตัวนี้ โดยหวังให้เกิดประโยชน์สองด้าน ด้านแรกเป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้สนับสนุนบริษัทที่มีการกำกับกิจการที่ดีตามเกณฑ์ ESG ซึ่งเฉพาะกองทุนนี้ ได้ประยุกต์เพิ่มตัว C ที่หมายถึงการต่อต้านคอร์รัปชันเข้าไปด้วย กับอีกด้านเป็นกลไกที่กำหนดให้มีการแบ่งเงิน 0.8% ของผู้ลงทุน โดยจ่ายผ่านกลไกส่วนแบ่งค่าบริหารจัดการร้อยละ 40 ของบลจ.บัวหลวง ไปสนับสนุนโครงการที่แก้ปัญหาและสร้างสรรค์สังคมไทยประเภทต่างๆ
"ในอนาคตอันใกล้ มูลนิธิฯ มีความตั้งใจที่จะพัฒนากองทุนเพื่อสังคมประเภทอื่นอีก พร้อมกับเดินหน้าต่อพัฒนาเกณฑ์การกำกับกิจการที่ดี ESGC ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ให้เป็นเกณฑ์ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ได้ สำหรับการลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคม หรือ Socially Responsible Investment หรือ SRI ของประเทศไทย"
นายสุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการ สถาบันเช้นจ์ ฟิวชัน ภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงโครงการเพื่อสังคมที่มีโอกาสได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนนี้ว่า เป็นโครงการที่มุ่งเน้นสร้างอนาคตใหม่ให้สังคมไทยในประเด็นที่มีความสำคัญ สามารถวัดผลการเปลี่ยนแปลงได้ มีความยั่งยืน ขยายผลได้ และยังมีความเชื่อมโยงกับประเด็นการปฏิรูปประเทศไทยที่สำคัญ เช่น การศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะภาคการเกษตร การทุจริตคอร์รัปชัน การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้จะต้องมีแผนการดำเนินงานชัดเจนโดยองค์กร กลุ่มคน หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ โดย คณะทำงานประกอบด้วยสถาบันเช้นจ์ฟิวชันฯและมูลนิธิเพื่อคนไทยเตรียมข้อมูลโครงการเพื่อสังคมที่ผ่านเกณฑ์แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาโครงการซึ่งเป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถเป็นที่ยอมรับว่ามีความเข้าใจปัญหาของสังคมไทยและมีวิสัยทัศน์แก้ไขปัญหา ประกอบด้วย นายวิรไท สันติประภพ นักเศรษฐศาสตร์ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ นางสินี จักรธรานนท์ ผู้อำนวยการมูลนิธิอโชก้า (ประเทศไทย) นายโชน โสภณพนิช กรรมการ บลจ.บัวหลวง นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย และนายสุนิตย์ เชรษฐา ผู้อำนวยการสถาบันเช้นจ์ ฟิวชัน
นายสุนิตย์ กล่าวอีกว่า กระบวนการเริ่มจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการจะประชุมคัดเลือกโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน รวมทั้งจำนวนเงินและเงื่ิอนไขการสน้บสนุนของแต่ละโครงการจากนั้นส่งให้คณะกรรมการอนุมัติเงินเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินโดยจำนวนนั้นจ่ายผ่านบัญชีมูลนิธิยุวพัฒน์เพื่อโครงการกองทุนคนไทยใจดี ทุกโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจะมีการติดตามรายงานความก้าวหน้าให้นักลงทุนรับทราบในทุกไตรมาส
กองทุน BKIND เสนอขายครั้งแรกวันที่ 20-28 ตุลาคม 2557 นี้ มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย ส่วนมูลค่าขั้นต่ำในการจองซื้อครั้งแรกและครั้งต่อไปเพียง 1,000 บาท สำหรับผู้สนใจกองทุนทุกประเภทของกองทุนบัวหลวง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ กองทุนบัวหลวง โทร. 0 2674 6488 กด 8 หรือ www.bblam.co.th รวมทั้งสาขาธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ หรือบัวหลวงโฟน 1333 หรือ www.bangkokbank.com