นายชวลิต กล่าวต่อไปว่า ในส่วนการจัดโซนนิ่งสินค้าเกษตรซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญนั้น เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของสินค้า โดยส่งเสริมให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในเขตที่มีความเหมาะสมและลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น และสามารถรักษาเสถียรภาพราคาและยกระดับรายได้ของเกษตรกร ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่ได้บังคับให้เกษตรกรปฏิบัติตาม แต่ยึดหลักการมีส่วนร่วมและเป็นไปตามความสมัครใจ โดยกระทรวงเกษตรฯ มีแนวทางสนับสนุน เช่น สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นทั้งด้านการผลิตและการตลาด ร่วมมือกับเอกชนในการกำหนดนโยบายและปริมาณการผลิตให้เหมาะสม และการวางแผนการตลาดที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรเกิดความเชื่อมั่นในด้านการตลาดและราคาของสินค้าเกษตรที่อยู่ภายใต้เขต Zoning ทำให้เกษตรกรตัดสินใจเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายในการทำการเกษตรแบบยั่งยืน ทั้งเรื่องของ Green Agriculture City ซึ่งให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าเกษตรให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ โดยเกษตรกรต้องสร้างเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะผลิตสินค้าปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐจะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีต่อไป
นอกจากนี้ คณะนักธุรกิจสหภาพยุโรป ได้หารือเกี่ยวกับการนำเข้าพืชตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) รวมถึงมาตรการจัดการต่อปัญหาการปลอมแปลงสินค้าเกษตร โดยขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าพืช GMOs ยกเว้นข้าวโพด และถั่วเหลือง ซึ่งต้องเป็นการนำเข้าเพื่อการแปรรูปเท่านั้น รวมทั้งไม่มีการอนุญาตให้ปลูกพืช GMOs ยกเว้นในแปลงทดลอง สำหรับการควบคุมการนำเข้าจากชายแดน กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร จะทำการตรวจเพื่อรับรองพืชนำเข้า ตามพระราชบัญญัติกักพืช ส่วนมาตรการจัดการต่อปัญหาการปลอมแปลงสินค้าเกษตรนั้น ประเทศไทยได้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการสร้างนวัตกรรม หรือนำเข้าเทคโนโลยีใหม่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้
ทั้งนี้ องค์การพันธมิตรธุรกิจยุโรป-อาเซียน และคณะนักธุรกิจสหภาพยุโรป จะนำข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายด้านการเกษตรดังกล่าวไปประกอบการตัดสินใจในการลงทุนภาคการเกษตรในไทยต่อไป