ทียูเอฟ ยินดีรับความประสงค์สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไพรเวท อิควิตี้ แปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นของทียูเอฟ

15 Oct 2014
บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องของไทย มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไพรเวท อิควิตี้ ลิมิเต็ด ได้แจ้งขอใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลยูโร (ECB) ปัจจุบันของทียูเอฟทั้งจำนวน 60 ล้านยูโร เป็นหุ้นสามัญของบริษัทฯ จำนวน 45,360,045 หุ้นที่มูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ หลังจากการใช้สิทธิแปลงสภาพจะอยู่ที่ 1,192,953,874 บาท

ปัจจุบัน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไพรเวท อิควิตี้ ลิมิเต็ด เป็นผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลยูโรรายเดียวของบริษัทฯ หุ้นกู้แปลงสภาพสกุยูโรนี้ได้ออกเมื่อตอนปลายเดือนตุลาคม 2553 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเงินเพื่อสนับสนุนเงินทุนสำหรับทียูเอฟในการเข้าซื้อกิจการที่ยุโรป โดยหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลยูโรนี้มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี และมีอายุครบกำหนดไถ่ถอน 4 ปี ทั้งนี้หากไม่มีการแปลงสภาพ หุ้นกู้นี้จะครบกำหนดเพื่อไถ่ถอนในเดือนนี้

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มทียูเอฟ กล่าวให้ความเห็นว่า “การที่สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ไพรเวท อีควิตี้ มีความประสงค์ในการแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพสกุลยูโรให้เป็นหุ้นสามัญของทียูเอฟ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ไพรเวท อีควิตี้ ต่อแนวโน้มธุรกิจของทียูเอฟ ที่มีผลประกอบการที่ดี มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง ตลอดจนมีการมีบรรษัทภิบาลที่ดี ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดโลก อันจะส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน”

“ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การใช้สิทธิแปลงสภาพนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงแก่สถานะการเงินของทียูเอฟ โดยการแปลงสภาพหนี้สินเป็นทุนในครั้งนี้จะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งมากขึ้นทันที และส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ลดลง ซึ่งอัตราส่วนนี้เป็นหนึ่งในอัตราส่วนสำคัญที่สถาบันการเงินชั้นนำต่างๆ ใช้วัดความมั่นคงทางการเงินของบริษัทฯ โดยแทนทีทียูเอฟจะต้องชำระเงินต้นคืนให้แก่สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไพรเวท อิควิตี้ ลิมิเต็ด ทียูเอฟ สามารถมีฐานเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพดังกล่าว” “เรายังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโต และการนำแนวทางนั้นไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของเราให้แข็งแกร่งทั้งธุรกิจภายในประเทศและต่างประเทศ” นายธีรพงศ์ กล่าวสรุป