ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ไมด้า ลิสซิ่ง” ที่ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม "Stable”

05 Sep 2014
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท ไมด้า ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานภาพการเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านภายใต้ตราสัญลักษณ์ที่หลากหลายและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังสะท้อนถึงประวัติการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานในการให้บริการสินเชื่อรถยนต์และผลกำไรที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอของบริษัท รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายซึ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่บริษัทด้วย โดยบริษัทมีสาขากระจายอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับพันธมิตรทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบจากจุดแข็งเหล่านี้ถูกลดทอนโดยปัจจัยกดดัน 3 ประการ ได้แก่ การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ความยืดหยุ่นทางการเงินที่จำกัดของบริษัท และส่วนแบ่งทางการตลาดในแง่ของสินเชื่อคงค้างที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาด ตลอดจนปรับปรุงผลประกอบการทางการเงินให้ดีขึ้น และเพิ่มแหล่งเงินทุนที่หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

บริษัทไมด้า ลิสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2543 ด้วยทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท โดยในช่วงเริ่มแรก บริษัทเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วเป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วอยู่ที่ 440 ล้านบาท โดยมีบริษัทไมด้า แอสเซ็ท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 60% ตลาดหลักของบริษัทคือสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วที่ผ่านการใช้งานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โดยมูลค่าสินเชื่อคงค้างของบริษัทค่อนข้างทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 2,500 ล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2548 ทั้งนี้ บริษัทมีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 2,465 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 สินเชื่อคงค้างของบริษัทประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 99% และสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการเต็นท์รถยนต์มือสอง (หรือสินเชื่อ Floor Plan) อีก 1% อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทแกว่งตัวขึ้นลงจาก 3% ในปี 2553 ขึ้นไปเป็น 3.8% ในปี 2554 แล้วลดลงเหลือ 2.3% ในปี 2555 และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปี 2556 จากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2556 ทำให้คุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทลดต่ำลงเมื่อเทียบกับปี 2555 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2557 โดยเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 4.3% ณ สิ้นเดือนมีนาคม และ 4.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปัจจุบันบริษัทเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นกับการติดตามหนี้สินรวมถึงการปรับนโยบายการให้สินเชื่อและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อให้มีความเข้มงวดมากขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อ โดยทริสเรทติ้งจะคอยติดตามผลจากความพยายามดังกล่าวต่อไป

ในปี 2554 และปี 2555 รัฐบาลออกมาตรการคืนภาษีแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกซึ่งกลายเป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการให้เช่าซื้อรถยนต์ซึ่งรวมถึงบริษัทด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่งผลทำให้ราคารถยนต์มือสองในตลาดตกต่ำเป็นอย่างมากเพราะผู้บริโภคหันไปซื้อรถยนต์คันแรกแทนเพื่อใช้สิทธิในการขอคืนภาษี

ในปี 2556 ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทลดต่ำลง โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 112 ล้านบาท ลดลง 16% จาก 134 ล้านบาทในปี 2555 การลดลงของกำไรสุทธิส่วนหนึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นถึง 20% โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 219 ล้านบาทในปี 2556 จาก 183 ล้านบาทในปี 2555 อีกทั้งบริษัทยังมีผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่ราคารถมือสองตกต่ำลงด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญถึง 37 ล้านบาทในปี 2556 ซึ่งสูงมากกว่ามูลค่าการตั้งสำรองฯ ในปี 2555 ที่ระดับ 14 ล้านบาท ถึง 2 เท่า ในปี 2556 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ต่อเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อรวมเพิ่มเป็น 2.6% จาก 2.1% ในปี 2555 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยลดลงเหลือ 4.2% ในปี 2556 จาก 5% ในปี 2555 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากการที่กำไรสุทธิลดลงเหลือ 50 ล้านบาทจาก 65 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 และอัตราส่วน ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ก็ลดลงเช่นกัน โดยอยู่ที่ระดับ 3.7% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

นับตั้งแต่ปี 2553 ฐานทุนของบริษัทค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 53.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 จาก 38.6% ในปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการทำกำไรอย่างต่อเนื่องของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงถือได้ว่าบริษัทมีฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่อาจจะไม่เพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในอนาคตหากบริษัทไม่ใช้เงินกู้เพิ่มเติม ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2555 บริษัทได้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูสถานะทางการเงินที่ดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ผลจากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากการขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปเป็นสิ้นเดือนเมษายน 2561 จากเดิมที่จะสิ้นสุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558

การขยายฐานสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญจะเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท โดยในขณะนี้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อีกทั้งยังไม่มีแหล่งเงินทุนที่แน่นอนเหมือนคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังหวังว่าบริษัทจะสามารถดำรงฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเอาไว้ได้ ซึ่งฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบของสภาวะเศรษฐกิจที่สูงเช่นกันบริษัท ไมด้า ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ML)อันดับเครดิตองค์กร: BBB-แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable