หลังจากที่ฝากผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” (2555) และ “ฤดูที่ฉันเหงา” (2556) จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ล่าสุดหนุ่ม “แดน-วรเวช ดานุวงศ์” ขอนั่งแท่นโปรดิวเซอร์อย่างเต็มตัว พร้อมดันเพื่อนสนิทที่เคยร่วมงานภาพยนตร์กันมาอย่าง “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” ขึ้นรับหน้าที่ผู้กำกับการแสดงเต็มตัวเรื่องแรกในภาพยนตร์แนวตลก อารมณ์ดี และแสนอบอุ่นเรื่อง “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” เรื่องราวของคุณพ่อสุดเห่ยและแก๊งเพื่อนสุดเพี้ยนที่ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับภารกิจพิชิต The One Ticket หนึ่งตั๋วเชื่อมความรักความสัมพันธ์ของเขากับลูกสาวตัวน้อยสุดจี๊ด
(แดน วรเวช) “คือจริงๆ แล้วแรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจากพี่ปอย (ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) ผู้กำกับเลยนะครับ คือเวลาเขาขายงานผม อยากทำหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้ ผมว่ามันยังไม่ใช่ นั่นก็ดาร์กไป นี่ก็ดิ่งไป ผมว่ามันไม่ใช่ตัวเขาซักทีครับ จนวันหนึ่งเขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อลูกในความพยายามที่จะทำสิ่งเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามไป สิ่งเล็กๆ ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของพ่อลูกคู่หนึ่งหรือหลายๆ คนไปได้เลย ผมรู้สึกว่านี่แหละคือตัวเขา มันต้องมีบางอย่างที่มาจากตัวเขา ผมก็เลยตัดสินใจให้พี่ปอยกำกับเรื่องนี้เองเลย เพราะผมทำงานกับพี่เขามานานมากตั้งแต่ยังไม่มีอะไร แชร์ความคิดกันตลอด คือแทบทุกชิ้นงานเบื้องหลังของผมจะมีเขาอยู่ข้างๆ เป็นผู้ช่วยผมตลอด วันนี้ผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะแสดงศักยภาพและความสามารถในการกำกับหนังดู คือเขาจะมีภาพในจินตนาการสูงมากครับ นั่นคือข้อดีที่ผมไม่ค่อยมี ซึ่งผมก็คิดว่าถ้าเขากำกับหนังเรื่องนี้มันคงได้สีสันที่มันฉูดฉาดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปจากเดิมครับ และเมื่อเห็นชิ้นงานออกมาแล้ว ผมก็รู้สึกพอใจมากนะครับ ถือว่าเขาสอบผ่านเลย เพราะนี่เป็นเรื่องของเขา เป็นตัวตนในความเป็นพ่อของเขา ผสมด้วยเรื่องราวความสนุกสุดเพี้ยนของแก๊งเพื่อนๆ ที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ เรียกว่าไอ้แก๊งนี้รวมกันมันส์ฮา รับรองว่าสนุกสนานได้หัวเราะกันเต็มๆ แน่นอนครับ”
กว่าจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่องนี้ “ปอย ณภัทร” ก็ได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งจากการแสดงเบื้องหน้าและการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับเบื้องหลัง รวมถึงเก็บเกี่ยวเรื่องราวและไอเดียที่น่าสนใจทั้งโดยตรงและจากผู้คนรอบข้างกลั่นกรองจนออกมาเป็นผลงานอารมณ์ดีเรื่องนี้
(ปอย ณภัทร) “คือส่วนตัวผมเป็นคนชอบดูหนัง และผมก็เห็นหนังมาเยอะ ตัวเราก็เล่นละครซึ่งเล่นดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่บทและตัวเราเอง คือบางอันผมเริ่มไม่ค่อยอิน บางทีมันเล่นซ้ำๆ ทางเดิม ตัวละครเดิมๆ ก็เริ่มรู้สึกเบื่อ พอเบื่อแล้วเนี่ย แล้วรู้สึกว่าอยากจะลองไปคิดพล็อตอะไรซักอย่างแล้วทำขึ้นมา เพราะผมเป็นคนเขียนการ์ตูนด้วย แบบคิดพล็อตคิดบทอะไรขึ้นมาก็เลยอยากจะลองทำดู ก็เลยลงมือทำเลยดีกว่า ใช้เวลาเตรียมงานกับเรื่องแรกนี่เยอะเลยครับ แล้วก็แคสนักแสดงเยอะ ช่วงเตรียมงานจริงๆ 2-3 เดือน แต่ไม่นับรวมบทที่ทำกันอยู่เป็นปีๆ คือเริ่มต้นผมอยากทำหนังพ่อลูก แล้วตัวผมก็มีลูกสาว แล้วผมก็เลี้ยงลูกคนเดียว แล้วผมก็รู้สึกว่ามีมุมมองที่ผมอยู่กับลูกเนี่ย มันไม่ใช่แค่เรื่องพ่อกับลูก ผมรู้สึกว่ามีความสนุก มันไม่จำเป็นต้องดราม่าหรือเครียด ผมว่ามุมมองของพ่อกับลูกที่สนุกสนานมีเยอะ บางทีเราได้แรงบันดาลใจจากเขา เหมือนเราเหนื่อย ๆ มา กลับมาถึงบ้านเจอยิ้มแย้มสวัสดี ก็ทำให้เราลืมหมดทุกอย่าง แต่ของผมจะรักลูกแบบไม่ค่อยโอ๋นะ แต่จะรักแบบคอยสอนเขา ตีไม่เคยตี แต่จะบอกเขาว่าทำไมถึงดุ แต่ในหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกเตือนพ่อ จะเป็นไปทางคอเมดี้มากกว่า เรื่องนี้ก็เหมือนเป็นตัวผลักดันให้รู้ว่าเราต้องทำอะไรให้เต็มที่ดูว่ามันจะไปได้ขนาดไหน มันก็เลยเป็นโปรเจ็คต์หนังเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งทิศทางของหนังจะเป็นแนวคอเมดี้ เป็นหนังพ่อลูกที่มันสนุกสนาน แล้วก็มีเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนฝูงเพี้ยนๆ แต่เต็มไปด้วยมิตรภาพที่ต้องทำภารกิจร่วมกันด้วย”
“ตั๋วเพียงใบเดียวจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงหรือ” ธีมหลักของภาพยนตร์ที่เกิดจากจุดเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่ทีมงานได้พัฒนาและสร้างสรรค์จนออกมาเป็นเรื่องราวความรักความผูกพันของพ่อลูกคู่หนึ่ง และมิตรภาพของแก๊งเพื่อนที่ฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันจนก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้
(ปอย ณภัทร) “เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวของพ่อคนหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องกับแก๊งเพื่อนๆ สุดเพี้ยนที่ต้องจับพลัดจับผลูแบบเลี่ยงไม่ได้มาทำภารกิจร่วมกันคือหาตั๋วคอนเสิร์ตโคตรหายากให้ลูกสาวตัวเองให้ได้ เพราะเป็นวงโปรดของลูกสาว และตัวเองก็อยากเป็นฮีโร่ในสายตาลูกสาวให้ได้ซักครั้งด้วย แต่สิ่งที่คิดไว้บางทีมันไม่ได้อย่างที่คิด ส่วนใหญ่ชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้ คิดอยากได้อะไร มันก็จะมีอุปสรรคเกิดขึ้น พอมีอุปสรรคก็ต้องหาทางแก้ มันจะทำให้คนดูรู้ว่าอุปสรรคมันไม่ได้ทำให้เราเหนื่อย แต่เพียงมันให้เราหาวิธีแก้สถานการณ์ต่อไป อันนั้นคือจุดมุ่งหมาย มันก็เหมือนเป็นภารกิจเป็นมิชชั่น ความสนุกสนานเฮฮามันก็จะเกิดขึ้นตรงนี้ระหว่างพระเอกกับแก๊งเพื่อนที่จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ฟังดูเหมือนจะง่ายแค่หาตั๋วคอนเสิร์ตใบเดียว แต่ด้วยสถานะตัวละครด้วยเงื่อนไขอะไรหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ตรงนี้มันก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกและมิตรภาพของแก๊งเพื่อนนี้ด้วย จะรุ่งหรือจะรอดก็ต้องมาดูกัน”
(แดน วรเวช) “เรื่องราวของหนังฟังดูเหมือนจะมีแค่เหตุการณ์ที่เป็นความสนุกคอเมดี้แบบนี้ แต่ว่าเรื่องนี้เนี่ย สิ่งที่จะอยู่ข้างในคือทำไมถึงตั้งชื่อเรื่อง The One Ticket จริงๆ มันคือตั๋วใบเดียวเนี่ยกำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราคิดว่านี่เหมือนเป็นแค่สิ่งเล็กๆ แต่บางครั้งเรื่องเล็กๆ นี้ก็สามารถเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนคน เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้นได้ หรือเปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้แย่ลงสุดๆ ก็ได้ เรื่องนี้เราถึงบอกว่าอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ บางทีมันสามารถสร้างเรื่องใหญ่ๆ ให้เกิดขึ้นได้”
เรื่องราวสนุกสนานใน “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” มาพร้อมคาแร็คเตอร์มากสีสันที่ได้รับการถ่ายทอดจากทีมนักแสดงหน้าเก่า-ใหม่มากความสามารถอย่างเข้าถึงบทบาทที่จะทำให้คุณอินไปกับความน่ารักที่เต็มไปด้วยความฮาอย่างแน่นอน“แดน (วรเวช) ในบท โป้ง เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง เป็นเหมือนผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบ แต่จริงๆ ก็รักลูก แต่ไม่ค่อยใส่ใจ เพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงมากกว่า เป็นคนที่ทำอะไรก็เหมือนทำไม่สุด เลิกดีกว่า จนเพื่อนๆ ต้องบอกว่าทำอะไรต้องทำให้สุด แล้วในที่สุดเมื่อถึงจุดเปลี่ยน เขารู้ละว่าต้องทำเพื่อลูกยังไง ก็เลยเหมือนมีแรงผลักดันขึ้นมา เรื่องนี้ผมว่าพลิกคาแร็คเตอร์ของแดนเยอะ แล้วเวลาแสดงหรือถ่ายทอดออกมาจะดูน่ารักสดใส และนี่คือตัวตนที่บางส่วนเป็นแดนจริงๆ ผมก็อยากให้ดู อยากนำเสนอมุมที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น ความคอเมดี้ที่แดนไม่เคยเล่นในเรื่องอื่นก็เอามาใส่หมด มันเลยเป็นความรู้สึกที่แยกไม่ออกระหว่างตัวแดนจริงๆ กับคาแร็คเตอร์ในเรื่องก็ว่าได้
น้องยูเค (ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล) เล่นเป็น ป.ปลา ลูกสาวของโป้ง เป็นเด็กน่ารักสดใส ชีวิตปกติก็คือพูดจาฉะฉาน แล้วก็เป็นเด็กที่ฉลาดพูด แต่ว่าบางทีพอเขาเริ่มมองคนอื่นก็จะเก็บความรู้สึกว่าทำไมพ่อเราไม่ไปส่งที่โรงเรียน ทำไมคนอื่นเขามีอย่างนี้ พอมันเก็บมากๆ สุดท้ายเด็กมันก็ต้องหลุดออกมาตามแนวทางเป็นเด็ก จะไม่ใช่เด็กที่เป็นผู้ใหญ่ คือผมดูเด็กหลายๆ คนที่มาแคสกันก็มีความสามารถ แต่น้องยูเคผมเจอครั้งแรก ผมประทับใจเขาเลย น้องเป็นคนพูดจาฉะฉาน กล้าแสดงออก ไม่กลัวคน เล่นแล้วออกมาสดใส ดูเป็นธรรมชาติที่สุด วันแรกจนถึงวันนี้พัฒนาการแสดงดีขึ้นมากๆ เมื่อไหร่ที่กองสนุก น้องก็จะเต็มที่ ซึ่งมันก็กระตุ้นให้ทีมงานสนุกด้วย
นางเอกนิว ปทิตตา มาเล่นเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเติมความสดใสให้กับครอบครัวพ่อลูกคู่นี้ ตอนแรกที่นิวมาแคส เราก็ให้เล่นตามบท นิวเล่นได้ดีมาก แต่เราก็อยากได้คาแร็คเตอร์ที่สามารถเข้ากันได้กับตัวพ่อ อยากให้เคมีมันใกล้กัน ก็เลยลองนอกบทดู ซึ่งนิวสามารถทำได้ลื่นไหล เขามีวิธีการตอบโต้ที่ฉลาด และเข้าใจคาแร็คเตอร์ของตัวละครได้ดี
มาที่แก๊งเพื่อน 6 คนที่เราดีไซน์คาแร็คเตอร์มาอยู่แล้ว อย่าง พี่แอนนา ก็จะเป็นบรรณาธิการฯ ที่ชอบเต้นมากๆ ใช้ชีวิตสบายๆ ชอบเที่ยว เขาก็จะมีท่าเต้นเด็ดของเขา ชอบโทรมาหาโป้งชวนไปเที่ยวผับแทนที่จะถามเรื่องต้นฉบับการ์ตูน แต่เขาก็มีเป้าหมายอยากจะทำให้สำนักพิมพ์ของเขาดีขึ้น
ส่วน กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ก็จะเป็นเพื่อนสนิทของพระเอก ชีวิตขัดสน เป็นเหมือนมุมมองของเพื่อนจริงๆ ที่ผมอยากถ่ายทอดออกมา คือตัวกอล์ฟเนี่ยเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยมีตังค์แต่เปิดค่ายมวย แล้วค่ายมวยก็มีนักมวยไม่กี่คน แล้วเวลาโป้งมีปัญหาเนี่ยก็จะมาบ่นมาปรึกษากับคนๆ นี้ จะเป็นเหมือนพลัง ผลักดันตัวโป้งและทั้งกลุ่มด้วยซ้ำ เหมือนเป็นเฮดครับ เหมือนคนหนึ่งท้อ กอล์ฟจะขึ้น มึงอย่ายอมดิ มึงนำกูมาแล้ว อยู่ดีๆ มาทิ้งกันกลางคันได้ยังไง
พี่โจอี้ จะเป็นนักมวยอยู่ในค่ายของกอล์ฟ เป็นนักมวยจากต่างชาติที่อยากจะขึ้นชก Thai Fight แต่ด้วยความที่ค่ายมันไม่ค่อยใหญ่ แล้วงบที่ไม่สามารถพัฒนาฝึกซ้อมอะไรได้เยอะเนี่ย เวลาขึ้นชกทีไรก็แพ้ แล้วก็เป็นคนที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้คือจะเป็นพูดภาษากานาของเขาเกือบทั้งเรื่อง แต่เขาก็มีแฟนสวยจนทุกคนในแก๊งต้องอิจฉา
ใหม่ ไอน้ำ จะเป็นคู่ซ้อมชกให้พี่โจอี้ ซึ่งจะเป็นเหมือนกระสอบทรายให้พี่โจอี้อยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ยอมทำ เพราะว่าเขาไม่มีที่ไป แล้วเขาก็อยากอยู่ค่ายนี้ เห็นพี่โจอี้เขาฝึกซ้อมมาทุกวันเนี่ย ก็อยากทำความฝันเพื่อนให้เป็นจริง และตัวใหม่เนี่ยจะบ้ากินไข่เป็นชีวิตจิตใจ มโนไปเองว่าจะช่วยเพิ่มพลังให้ได้
น้องบ๊อบบี้ เสียงอีสาน จะเป็นแฟนพี่โจอี้ที่ชอบเหวี่ยงวีน แล้วก็ด่าได้น่ารัก เป็นผู้หญิงคนเดียวในแก๊ง จะรักพื้นเพตัวเองมากเลยพูดอีสานทั้งเรื่องเลย และที่สำคัญเป็นแฟนของพี่โจอี้ซึ่งพูดภาษากานา คือคนในค่ายจะเข้าใจว่าสองคนนี้เขารักกันนะ แต่คนที่มาทีหลังอย่างพี่แอนนาเนี่ย เขาจะไม่เข้าใจเลยว่าสองคนนี้มันคบกันได้ยังไง แล้วพี่แอนนาเขาก็จะพูดสไตล์ไหหลำ พอสามคนนี้อยู่ด้วยกัน มันก็จะพูดไม่เป็นภาษากันเลย
ส่วน นาย เดอะคอมเมเดี้ยน ก็จะเป็นคนที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เขาจะเป็นครูสอนเต้นแอโรบิคใต้ตึกที่โป้งพักอยู่ ตัวละครนี้จะก่ำกึ่งไม่แน่ไม่นอนว่าเป็นเพศไหนกันแน่ แต่มันก็จะมีหลายซีนที่แอบมองผู้ชายนะ แต่บอกว่าไม่ได้ชอบ ไม่ได้เป็น มันจะงงๆ สับสนในตัวเอง เวลานายเล่นเนี่ยผมว่าเขาขโมยซีนเยอะเหมือนกัน คือเขาจะมีจังหวะจะโคน เล่นออกมาดูน่ารักครับ
แก๊งนี้รวมแดนเป็น 7 คนเหมือนจับปูใส่กระด้งมาก แต่ก็สนุก คือผมกำกับหนังเรื่องนี้ ผมมีความรู้สึกว่ากำกับหนังสองพาร์ทอ่ะ คือพาร์ทแรกเนี่ยเป็นเรื่องฝั่งพ่อกับลูกสนุกมากๆ จนผมกังวลว่าพอไปถึงพาร์ทของเพื่อนๆ มันจะสู้ได้มั้ย แต่พอผมกำกับเพื่อนๆ ทั้งหมดเนี่ย ผมว่าบางทีเกินร้อยเลย สนุกมากเหมือนทำหนังสองเรื่องเลย ยิ่งอยู่กันนานๆ ก็ยิ่งเข้าขากัน มีมุกสด มีอินเนอร์ มีเล่นอิมโพรไวส์ ซึ่งมันสนุกและโอเคมากๆ ครับ
ความสนุกสนานเกิดขึ้นจากตรงนี้ เมื่อคาแร็คเตอร์มันชัดเนี่ยตัวนักแสดงเองผมว่าเขาก็จะเล่นได้เต็มที่ เพราะเขารู้ว่าตัวนี้คิดอะไรอยู่ ซีนนี้เขาควรเล่นอะไร ผมว่าดี เพราะถ้าคาแร็คเตอร์มันยังลอยๆ ไม่ชัดเจน มันก็อาจจะเล่นไม่สุดประมาณนี้”
นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์สุดไพเราะซึ่งเกิดจากการแท็คทีมครั้งสำคัญของ “แดน วรเวช” และ “กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่” รวมถึงได้นักทำดนตรีประกอบมือฉมังระดับเอเชียอย่าง “เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” มาบรรเลงฝีมือด้วย
(แดน วรเวช) “ในเรื่องนี้ก็จะมีเพลงประกอบอยู่ 2 เพลงนะครับ เพลงเร็ว 1 เพลงกับเพลงช้าอีกเพลงนะครับ เพลงเร็วเนี่ยจะมีแดนกับกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่เนี่ยร้องด้วยกันชื่อเพลง ‘สโนไวท์’ เนื้อเพลงก็จะพูดถึงว่าในชีวิตของเราเนี่ย เราอาจจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งหรือแทบจะเป็นคนแคระเลยด้วยซ้ำ ก็ตามหาเจ้าหญิงมาตลอด เหมือนกับเป็นงานเปรียบเทียบชีวิตจริงว่าในวันที่เราเจอผู้หญิงคนนี้เราชอบ เราประเคนของไป แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เอา หรือว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เข้ากับเราอะไรแบบนี้มันก็เป็นงานเปรียบเปรยที่ผมว่าสนุกดี แล้วก็มันเข้ากับเรื่อง ซึ่งตัวโป้งเนี่ยชอบเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อยๆ แดนว่ามันก็ดูเข้ากับเรื่องดี ที่กอล์ฟเขียนมาก็มีมุมมองอะไรที่นอกจากน่ารักแล้วยังมีอะไรที่สนุกและมีการล้อเลียนเกิดขึ้นอยู่ด้วยนะครับ
อีกเพลงเป็นเพลงช้าที่แดนเป็นคนร้องก็จะถูกพูดเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ หมายถึงในชีวิตของเราต้องเจอจุดเปลี่ยนต่างๆ ซึ่งวันนี้เราคนที่ร้องเพลงกำลังจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อใครซักคนหนึ่งที่คิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่าแล้วก็ยอมเปลี่ยนได้แม้มันจะหนักหนามากน้อยแค่ไหน ก็เข้ากับธีมหลักของเรื่องเลย
ในส่วนของการทำซาวน์ดีไซน์หรือสกอร์ของหนัง รวมไปถึงดูแลเรื่องเพลงประกอบหนัง ก็จะเป็นหน้าที่ของพี่ต๋อย (เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน) ซึ่งแดนดีใจมากที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่เขา ซึ่งมีความเป็นมืออาชีพสูง แล้วก็มีรสนิยมที่จูนกับงานเราได้ คือพี่เขาเคยทำงานกับเจย์ โชวในหนังเรื่อง The Secret (ได้ชิงรางวัลม้าทองคำ สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ของไต้หวัน) มาก่อนนะครับ แล้วล่าสุดเนี่ยพี่เขาก็เพิ่งจบหนังแอ็คชั่นไต้หวันไปอีกเรื่อง เป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่มาก ทุนสร้างแทบจะเป็นอันดับต้นๆ ของไต้หวันเลย แล้วก็เพิ่งบินกลับมาทำดนตรีให้กับเราในเรื่อง ตัวพ่อเรียกพ่อ นี้ ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากพี่เขา ก็อยากจะให้ลองฟังดูครับ คือแดนทำหนังเนี่ยก็พยายามให้ความสำคัญกับทุกส่วน โดยเฉพาะเรื่องเพลงก็ถือว่ามีความสำคัญมากๆ ที่จะช่วยสร้างอารมณ์ต่างๆ ในหนังให้เรารู้สึกอินมากขึ้นทั้งในพาร์ทของความสนุก ตลก โรแมนติกแล้วก็ดราม่าด้วยครับ”
งานนี้รับรองยิ้มแก้มปริไปกับความน่ารักน่าเอ็นดูของพ่อลูกคู่นี้ พร้อมฮาปนซึ้งไปกับมิตรภาพของผองเพื่อนสุดรั่วทั้ง 6 คนที่ยอมร่วมหัวจมท้ายตะลุยภารกิจพิชิตตั๋ว...แบบที่ "ตัวพ่อ" ยังต้อง "เรียก (ว่า) พ่อ" กันเลยทีเดียว
(ปอย ณภัทร) “เสน่ห์ของมันก็คือเรื่องของพ่อลูกที่ห่างเหิน แต่ก็จะกลับมาใกล้ชิดกันให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้น แล้วก็เรื่องเล็กๆ เนี่ยสามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วคุณจะแก้ไข้สถานการณ์ได้หรือเปล่า แล้วเสน่ห์อีกเรื่องก็คือคุณจะได้เห็นความน่ารักของน้องยูเค แล้วก็การพลิกคาแร็คเตอร์ของแดน ร่วมถึงความสนุกสนานของแก๊งเพื่อนตัวพ่อที่รับรองความฮาและสนุกได้เลย ในแง่ความบันเทิงคือได้แน่ๆ นักแสดงแต่ละคนที่เล่นในเรื่องนี้มีคาแร็คเตอร์ชัด แล้วก็มีความสนุกสนานในกลุ่มเพื่อนฝูง มีความสนุกสนานของพ่อกับลูก แล้วก็จะได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ที่แดนเล่นอออกมาให้เห็นในมุมมองของความเป็นพ่อ เราคิดแค่ง่ายๆ ว่าแดนมีลูกเนี่ยจะเป็นยังไง แค่นี้ก็สนุกแล้วครับคือผมว่าหนังเรื่องนี้มีคำอยู่สองคำคือ ทำกับไม่ทำ เพราะว่าถ้าเกิดคุณเจอเรื่องนี้ปุ๊บ เออ...ไม่เอาแล้ว เลิก จบกัน แต่ถ้าคุณทำ ไม่รู้ว่าสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่คุณได้ทำกับมันเนี่ยคุณจะภูมิใจกับมันมาก”
(แดน วรเวช) “หนังเรื่องนี้มันจะมีครบทุกอารมณ์นะครับ ก็จะมีเรื่องของความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสัมพันธ์ของผู้หญิงผู้ชายรักกัน ความเป็นเพื่อนรักที่จะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คือเรื่องบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าคอเมดี้นำมากๆ ถ้าเทียบสองเรื่องของผมที่ผ่านมา คือเรื่องนี้คอเมดี้ที่สุดเท่าที่ผมทำมานะครับ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าข้างในมีแกนสำคัญอยู่หมดครับ เรามีไลน์เรื่องที่ชัดเจนครับ เรากำลังจะสื่อเรื่องบัตรใบหนึ่ง มันกำลังจะปรับเปลี่ยนความรักของพ่อลูกคู่หนึ่งไปตลอดกาล แล้วก็จะบอกว่าคนๆ หนึ่งไม่มีใครที่จะทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่ว่าคุณลงมือทำมันหรือยัง แล้วทำมันจริงหรือเปล่า แล้วการที่คุณบอกว่าคุณทำมันไม่ได้ คือถามว่าคุณทำมันสุดหรือยังครับ แล้วถ้าทำไม่ได้เรามีวิธีให้ จงหาแรงบันดาลใจซะ แรงบันดาลใจคุณอยู่ที่ไหนคุณหามันให้เจอ จะทำเพื่อคุณพ่อคุณแม่หรือจะทำเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง ทำเพื่อแฟนคุณ หรือว่าทำเพื่ออะไรซักอย่าง ถ้าคุณเจออันนั้นคุณจะประสบความสำเร็จแน่นอน นั่นล่ะครับ แต่โดยรวมทั้งหมดคือความสนุกสนานบันเทิงแน่นอนครับ”ครอบครัวตัวพ่อ
โป้ง (แดน-วรเวช ดานุวงศ์) - นักวาดการ์ตูนหนุ่มผู้ครองโสดมานานถึงเจ็ดปี เพราะด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพังจึงทำให้แทบไม่มีเวลาหาสาวคนใหม่ให้หัวใจตัวเอง แต่เดี๋ยวนะ...ดูเป็นพ่อแสนดีจัง ไม่ใช่ล่ะมั้ง เพราะดูจากสภาพที่เห็นแล้ว น่าจะเรียกว่าไม่มีใครเอาถึงจะถูก เพราะด้วยความชิลล์เกินเหตุจนออกจะไปทางเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ ไม่สนใจชีวิต นั่นต่างหากที่ทำให้โป้งต้องโสดสนิทสถานเดียว แต่เอาเถอะ เขาก็มีข้อดีเหมือนกัน คืออะไรเพื่อลูก...เขายอมทำได้หมด
“โป้งก็จะเป็นคนใช้ชีวิตไปวันๆ เรื่อย ๆ ปล่อยมันดำเนินไป แต่ว่าเป็นคนมีความฝันนะ ฝันว่าอยากจะเป็นนู่นเป็นนี่ อยากจะทำนู่นนี่ อยากจะมีงานที่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันติดตรงที่ฝันแต่ไม่ทำเท่านั้นเองครับ ในเรื่องก็จะเป็นนักเขียนการ์ตูนที่มักจะเขียนการ์ตูน คิดการ์ตูนออกก็ต่อเมื่อเงินมันช้อตเท่านั้นเองครับ แต่โดยรวมแล้วคือเป็นพ่อที่รักลูกมากๆ แต่ไม่แสดงออก ทุ่มเทสิ่งดีๆ ให้ลูกสาวอยู่ตลอดตัวละครนี้เหมือนแดนตรงที่เป็นคนมีความฝัน แต่ว่าต่างกันตรงที่ผมเป็นคนฝันแล้วผมมักจะทำมัน แต่ตัวโป้งฝันแล้วไม่ทำ แล้วก็ต่างกันตรงที่เวลาผมฝันแล้วผมมักจะหาจุดเหนี่ยวรั้งของชีวิตผมหรือว่าตัวที่จะพาผมไปสู่ฝันนั้นๆ ให้ได้ นั่นก็คือแรงบันดาลใจที่จะผลักดันให้คนประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ซึ่งโป้งยังไม่มีสิ่งนั้นในเรื่องตอนต้น แต่หลังจากนั้นเราจะเริ่มเห็นการพัฒนาของเขาเอง เต็มที่มากครับในเรื่องนี้ เหมือนได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองเต็มที่มาก อะไรที่เป็นตัวเราอยู่ในนี้เยอะมาก แต่ก็มีเพิ่มสีสันให้มันสนุกมากขึ้น เราก็พยายามดีไซน์คาแร็คเตอร์ให้มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ”
ป.ปลา (ยูเค-ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล) - สาวหมวยตัวน้อยแต่โตเกินวัย 7 ขวบ ที่ใครเห็นก็เป็นต้องตกหลุมรักในความน่ารักน่าชัง ขยันและฉลาด ป.ปลาใช้ชีวิตเติบโตมากับพ่ออย่างโป้ง แน่นอน...เรารู้จักโป้งดีตามที่บอกไป ด้วยเหตุผลนี้เธอจึงต้องดูแลตัวเองตั้งแต่เด็กและอาจจะยันโตก็เป็นได้
“ในเรื่องนี้หนูรับบทเป็น ป.ปลา ค่ะ เป็นเด็กอายุ 7 ขวบ อยู่กับพ่อโป้ง (แดน วรเวช) ตามลำพังสองคน แล้วหนูก็ต้องทำงานบ้านจนถึงเรื่องเรียนด้วยตัวเอง พ่อไม่ค่อยสนใจ ป.ปลามีวงเกิร์ลกรุ๊ปขวัญใจที่จะมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ป.ปลาก็เลยเก็บเงินจนครบและฝากพ่อจองบัตร แต่พ่อเอาเงินไปทำอย่างอื่นไม่ได้จองบัตร ทีนี้บัตรหมด พ่อไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องไปชวนแก๊งเพื่อนช่วยกันทำภารกิจตามล่าหาบัตรมาให้หนู นี่เลยเป็นที่มาของความสนุกสนานในเรื่องนี้ค่ะ
หนูชอบทุกฉากเลยค่ะ ก็มีฉากปาร์ตี้บนดาดฟ้า, ฉากสระน้ำ ชอบทุกๆ ฉากค่ะ ฉากปาร์ตี้บนดาดฟ้าก็ได้เล่นกับพี่แดนและพี่นิวค่ะ มีจัดไฟแล้วก็ปิ้งหมูกระทะกัน แล้วก็มีเล่นเกมกันด้วย สนุกดีค่ะ แต่ถ่ายดึกไปหน่อยค่ะ หนูก็ง่วงมั่ง”
ณฐา (นิว-ปทิตตา อัธยาตมวิทยา) - สาวสวย น่ารัก มีเสน่ห์ และเข้ากับคนง่าย เธอเข้ามาในชีวิตของสองพ่อลูกโดยบังเอิญ และก็ดันเข้าขากับสาวน้อยป.ปลาได้เป็นอย่างดี หรือเธอจะเป็นจิ๊กซอว์ที่มาต่อให้ภาพครอบครัวนี้สมบูรณ์เสียที“ทีแรกที่นิวเห็นบทนี้ก็จะดูเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่สดใส ร่าเริง มองโลกในแง่ดี แต่ว่าพอมาถึงจุดๆ หนึ่งของหนังแล้วมันมีอะไรที่แบบผิดคาด พลิกกว่านั้นไปอีก คือเป็นตัวละครที่มีอะไรให้เล่น รู้สึกว่าท้าทาย อยากลอง เป็นหนังตลกจริงจังเรื่องแรก เลยรู้สึกว่าเราต้องทำมันให้ได้ เพราะว่ามันน่าจะมาทางเรานะ เราตลกอยู่นะ
นิวว่าเสน่ห์ของหนังเรื่อง The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ คือความน่ารักของตัวละคร ตัวละครทุกตัวนิวว่ามีเสน่ห์ทั้งหมดทั้งพี่แดน, ยูเค หรือว่าตัวณฐาของนิว รวมถึงแก๊งเพื่อนของพี่แดนที่ต้องออกมาปฏิบัติภารกิจอีก มันค่อนข้างชัดว่าจะสื่ออะไร ต้องการอะไร ทีนี้มันก็เลยทำให้ดูน่าสนใจ ก็อยากให้ทุกคนติดตาม พลาดไม่ได้นะเรื่องนี้ มันก็เป็นการพลิกคาแร็คเตอร์ของนักแสดงหลายๆ คนอย่างพี่แดนก็น่าจะเป็นพ่อเรื่องแรก แล้วอีกหลายๆ คนที่ต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะนะ คือถ้าเห็นแล้วอย่างฮา เราดูเบื้องหลังยังอยากเข้าไปแจมกับแก๊งพี่แดนเลย แต่เผอิญเราอยู่คนละพาร์ทกัน”
บก.ณภัทร (แอนนา ชวนชื่น) - บรรณาธิการสำนักพิมพ์การ์ตูน เจ้านายของโป้ง จู้จี้ ช่างสังเกต และชอบหาประเด็นให้คนข้างๆ ได้ขบคิดเสมอ แต่ก็ใช่ว่าชีวิตเขาจะขาดสีสัน เพราะนอกจากจะเป็น บก. เขาก็ยังชอบทำตัวเป็นเพลย์บอย แถมเด็ดสุดคือรักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าเมื่อไหร่ฟลอร์เปิด เมื่อนั้น บก.ต้องแดนซ์สะบัดฟินเฟอร์
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ท่านจะได้เห็นคาแร็คเตอร์ใหม่ของแอนนา ซึ่งแบบแล่นมาหลายเรื่องแล้ว แต่ไม่เคยมีท่าเต้นนี้อยู่ในหนังเรื่องไหนเลย แบบว่าท่านี้เป็นท่าแรกที่คิดขึ้นมาเอง แล้วไม่ได้จำใครมา เต้นแบบหลุดโลกสุดๆ ไม่เคยเห็นแอนนาเต้นที่ไหนมาก่อนปอยเป็นคนอารมณ์ดี เขาไม่แน่ใจเขาก็ไม่ปล่อยนะ เขาก็จะเทกใหม่ ก่อนที่จะเล่นเราตกลงกันแล้วว่า ผมเป็นนักแสดงเก่า คุณเป็นผู้กำกับใหม่ คุณอย่ามาเกรงใจผม คุณเป็นผู้กำกับอยู่หน้ามอนิเตอร์ คุณเห็นช่องโหว่ คุณต้องบอก ผมยอมเหนื่อย ทุกคนยอมเหนื่อย ทุกคนพูดอย่างนี้หมด ตรงไหนไม่ดี ตรงไหนสะดุด เอาใหม่ได้เลย พวกเราพร้อมที่จะทำให้ออกมาดีที่สุด”
ฟัก (กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่) - เพื่อนซี้ร่างยักษ์ของโป้ง เจ้าของค่ายมวยที่ใกล้จะเจ๊งเต็มที ฟักเป็นคนเรื่อยเปื่อยแต่ก็แอบแฝงด้วยสาระ เพราะทุกครั้งที่โป้งต้องการที่ปรึกษาก็จะมีฟักเพียงคนเดียวที่ยืนรอเพื่อหาทางแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน แม้บางครั้งจะแก้ไม่ได้ และต้องปล่อยเลยตามเลยก็ตาม
“จริงๆ แล้วผมกับแดนก็รู้จักกันมาก่อน เคยทำงานด้วยกัน พอมาเรื่องนี้ตัวพี่ปอย (ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) ซึ่งเป็นผู้กำกับฯ ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วเหมือนกัน ก็เลยทำให้การแสดงที่ต้องมาแสดงเป็นเพื่อนกันมันก็เลยค่อนข้างจะง่าย การแสดงมันใกล้เคียงกับตัวจริง ก็เลยทำให้มันเล่นง่ายขึ้น การทำงานก็ง่ายขึ้นด้วย
จริงๆ ดูไม่ออกว่าพี่ปอยกำกับหนังเรื่องแรก เพราะพี่ปอยเขาเองก็ร่วมงานกับแดนในเรื่องอื่นๆ มานาน ไม่รู้สึกเลยว่าเขากำกับเรื่องแรก ชั่วโมงบินเขาค่อนข้างสูง เขาให้อิสระกับการแสดงเราและทุกคน แล้วเขาก็บอกกว่าเขาต้องการยังไง ซึ่งผมว่าพี่ปอยค่อนข้างจะมืออาชีพมากเลย”
เข็มหมุด (ใหม่ ไอน้ำ) - ผู้เสพติดการกินไข่ทุกขณะจิต เป็นคู่ซ้อมร่างเล็กหรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นที่รองรับอารมณ์ของฟ.ฟันขาวนั่นเอง เป็นคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเพื่อนเสมอ เพราะความฝันของเขาคือการได้เห็นเพื่อนรักได้ขึ้นชก Thai Fight เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน มีไข่เพิ่มพลังซะอย่าง
“บทของผมจะไดอะล็อกน้อยๆ แต่แอ็คติ้งต่างๆ มันเหมือนจะแย่งซีนชาวบ้านเขาอยู่ตลอดอย่าง เช่น จะชอบนั่งแบบไม่ระวัง อยู่ดีๆ ก็ไข่โผล่ขึ้นมา คือพี่ปอยบอกว่าอยากเล่นอะไรเล่นไปเลย เล่นให้เต็มที่ เพราะบทพูดผมน้อยอยู่แล้วเรื่องนี้เนี่ยต่างคนต่างมีคาแร็คเตอร์ที่แปลกๆ ที่ในโลกนี้เขาไม่มีกัน แต่แก๊งนี้มี อย่างเช่น ‘เข็มหมุด’ ชอบกินไข่ จะไปไหนว่ายน้ำลงเรือจะต้องกินไข่ตลอด แล้วคู่หูผม ‘ฟ.ฟันขาว’ ก็ลิ้นหลุดตลอดเวลา ส่วน ‘บ.ก.ไหหลำ’ ของพี่แอนนาก็จะเป็นคนชอบเต้น แล้วก็ ‘แอร์โรว์’ เป็นนักเต้นแอโรบิค แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่เป็น แต่จริงๆ มันเป็น... คอนเฟิร์มเลยมือไม้นี่ตลอดเวลา เละครับผม แต่ละซีนแต่ละฉากมารวมแก๊งกันทีก็ฮาครับ เล่นเองยังฮาเลยครับ”
ฟ.ฟันขาว (โจอี้ เชิญยิ้ม) - นักมวยชาวกานาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจนทำนาเป็น...นี่ก็พูดไป เขาเป็นนักมวยเพียงคนเดียวในค่ายของฟัก ผู้มีความใฝ่ฝันสูงสุดคือการขอให้ได้ขึ้นชกบนเวที Thai Fight สักครั้งหนึ่งในชีวิตนี้“ความน่าสนใจของ The One Ticket ตัวพ่อ...เรียกพ่อ เนี่ยมันสำคัญมากกับมนุษย์ มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ ในเมื่อมีลูกแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันแบบเราไม่มีลูก เราก็ไม่รู้ความหมาย ความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความรัก ความจริงจัง ความจริงใจเข้ามาด้วย เวลาเราทำอะไร เราก็ไม่ได้รอค่าตอบแทนอะไรกลับมา แต่เราพยายามทำเพื่อลูก แล้วพ่อคนนี้เป็นเพื่อนกับผม ผมเห็นความพยายามของเขาที่ทำเพื่อลูก ผมก็ต้องช่วยเหลือเขาแน่นอน เพื่อนทุกคนถึงจะบ้าจะเพี้ยนยังไงก็พร้อมใจกันช่วยเขา มันก็เลยเกิดเป็นความสนุกสนานและมิตรภาพระหว่างเพื่อนขึ้นมาด้วยครับ”
แอร์โรว์ (นาย เดอะคอมเมเดี้ยน-มงคล สะอาดบุญญพัฒน์) - ผู้นำเต้นแอโรบิค หนุ่มหน้าใสผู้มีใจรักสวยรักงาม แต่ไม่ได้ขายครีมนะจ๊ะ พูดเลยว่าเดาเพศจากพฤติกรรมยากมาก ถึงแม้ใครจะทักว่า “ใช่...ใช่มะ” อยู่เสมอ แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่ใช่...ฉันไม่ใช่ตุ๊ดนะ ก็หยวนๆ เชื่อนางไปเหอะ อย่าเสียเวลาสแกนอยู่เลย
“ในเรื่องเป็นคนสอนเต้นอยู่ในตึกที่พระเอกพักอยู่กับลูกสาว แล้วก็เป็นคนที่ออกจะเกย์ๆ หน่อย ก็ไม่ได้เปิดตัวว่าเป็น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือเปล่า เราว่าเราไม่เป็น แต่ด้วยบุคลิกแล้วคนอื่นเขาว่าเราเป็นทั้งนั้น
แก๊งนี้ถ้าถามว่าเพี้ยนถึงขนาดไหน ผมว่าไปศรีธัญญา ศรีธัญญาแตก อยู่ไม่ได้ มันเลอะเทอะไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่รู้อยู่ด้วยกันได้ไง แต่รับรองว่าสนุกแน่นอน”
แต้ว (บ๊อบบี้ เน็ตไอดอลเสียงอีสาน-ธนาพร มณีพันธ์) - ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แหม่...ช่างเหมาะสมกับสาวอีสานหน้าสวยขี้เหวี่ยงวีนคนนี้ซะจริงๆ เธอมีความรักแม้จะต่างภาษาแต่ก็สามารถใช้เป็นเครื่องผลักดันชีวิตในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเดือดร้อนถึงตัวหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องของฟ.ฟันขาวแฟนหนุ่ม นางก็ยอมถึงไหนถึงกัน
“ตื่นเต้นแล้วก็กังวลด้วย เพราะเป็นหนังเรื่องแรกค่ะ กลัวเราทำไม่ได้แล้วเป็นตัวถ่วงของพี่เขา เพราะมีแต่พี่ๆ นักแสดงมืออาชีพทั้งนั้น เราก็เป็นคนเดียวที่ยังไม่มีประสบการณ์ แต่พอได้แสดงร่วมกันแล้วก็รู้สึกโอเคค่ะ ตอนแรกเข้ากองไปนึกว่าพี่เขาจะเครียดๆ กัน แต่พอเข้าไปแล้วพี่ๆ เขาก็ช่วยสอน ช่วยแนะนำ แล้วก็ใจดีด้วย
ฉากแรกที่เข้าก็ตามคาแร็คเตอร์เลยค่ะ วันแรกก็เหวี่ยงวีนเลยค่ะ ฉากนั้นคือยากที่สุดแล้ว คือจริงๆ บทหนูจะไม่ค่อยมีบทพูด แต่วันแรกนั่นบทพูดยาวหลายบรรทัดเลยค่ะ แล้วต้องพูดภาษาอีสาน แล้วเราก็ต้องแสดงอารมณ์เหวี่ยงใส่พี่กอล์ฟแล้วก็พี่แดนค่ะ บทมันก็ประมาณ เอาแฟนเราไปทำอะไร ทำไมกลับมาแล้วหน้าเป็นแบบนี้ ประมาณนี้ค่ะ ก็สนุกมากๆ ค่ะ”บันทึกผู้กำกับ...
“The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมได้กำกับ คือผมอยากทำหนังพ่อลูกที่มีความสนุกสนาน และให้คนที่ได้ดูได้รับรู้ถึงความพยายามของตัวตนคนหนึ่งว่า เมื่อคุณได้พยายามเต็มที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ความภูมิใจจะเกิดกับตัวคุณเอง อาจจะไม่ใช่แค่ตัวคุณเอง แต่รวมถึงคนรอบข้างอีก และบางครั้งการที่จะพยายามทำคนเดียวอาจจะไม่สำเร็จ ต้องมีคนรอบข้างที่เข้าใจคุณด้วย เพื่อฉุดกันขึ้นไป
โดยส่วนตัวผมมีลูกสาว และเลี้ยงคนเดียว ก็เลยได้แรงบันดาลใจอยากทำหนังพ่อลูก และอยากทำหนังที่สนุกสนานเพราะเวลาที่ผมอยู่กับลูกสาวก็จะเล่นกัน มีความสุข ความอบอุ่นกับการที่ได้นั่งมองอีกชีวิตที่กำลังเติบโต ช่างทำให้มีความสุขมากๆ และก็อยากจะทำหนังที่มีความตลกร้ายเข้ามาผสมด้วย เลยได้แรงบันดาลใจว่า ถ้าพ่อเอาเงินที่ลูกเก็บมาไปใช้ทำอย่างอื่น โดยที่เงินทั้งหมดหายไปกลายเป็นศูนย์ เขาจะหาตั๋วที่ลูกอยากได้มาคืนได้หรือเปล่า ความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่เหมือนรูมเมทจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้มั้ย พฤติกรรมเดิมๆ ของโป้งจะปรับเปลี่ยนได้หรือเปล่า
ความสนุกและความตลกของการปฏิบัติภารกิจหาตั๋วของลูกจึงเริ่มต้น เรื่องของตั๋วคอนเสิร์ตที่หายไป มันเป็นเรื่องยากที่จะได้มาแต่ลูกสาวก็พยายามจะหามาให้ได้ แต่พ่อกลับทำความฝันของเด็กน้อยๆ พังทลาย
คืออยากให้คนที่เขามาดูหนังเรื่องนี้ได้รับความสนุกของสองพ่อลูก ความแปลกประหลาดของเพื่อนๆ และที่ต้องการมากที่สุด คือเมื่อเข้ามาดูคุณจะกลับไปมองคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณมากขึ้น ไม่ใช่แค่พ่อแม่หรือลูก
เพราะบางครั้งการมองตัวเอง เข้าข้างตัวเองมากๆ ก็ทำให้คนรอบข้างที่คุณรักห่างไป จนในที่สุดอาจจะไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา(ผู้กำกับ “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ”)ประวัติและผลงานผู้กำกับ “ปอย-ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา” กำกับการแสดง- The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์- ฤดูที่ฉันเหงา (2556) - คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ (2555)ผู้ช่วยผู้กำกับละคร- ละครสืบสวนป่วนกำลังสาม ช่อง 3- คาราบาว เดอะ ซีรีส์ ตอนกระถางต้นไม้, ตอนมหา’ลัย, ตอนหนุ่มสุพรรณ ฯลฯ ช่องโมเดิร์น 9ผลงานการแสดง- ละครบุษบาครับผม - ละครสุภาพบุรุษตีนควาย - ละครนายกระจอก - ละครสมปองน้องสมชาย- ละครวิมานกุหลาบ - ละครพี่น้องสองเลือด - ละครมนต์รักล็อตเตอร์รี่ - ละครพี่ชาย - ละครฟาร์มเอ๋ย ฟาร์มรัก - ภาพยนตร์คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ประวัติและผลงาน “ด.ญ.ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล” (น้องยูเค)เกิด: 14 กันยายน อายุ: 5 ปีส่วนสูง: 107 เซนติเมตร น้ำหนัก: 16 กิโลกรัมประวัติการศึกษา: โรงเรียนทิวไผ่งามความสามารถพิเศษ: ร้องเพลงสีโปรด: สีชมพูกีฬาโปรด: ว่ายน้ำอาหารจานโปรด: สปาเก็ตตี้ไวท์ซอสเห็ด, ข้าวไข่ดาวผลไม้ที่ชอบ: มะละกอ, แคนตาลูปสไตล์การแต่งตัว: แนวญี่ปุ่นแบบไม่มีลวดลายการ์ตูนเครื่องประดับ : สร้อย, แหวนสถานที่ท่องเที่ยว: ทะเลดาราที่ชื่นชอบ: เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข, มาริโอ้ เมาเร่อนักร้องที่ชื่นชอบ: นิว-จิ๋วหนังที่ชอบ: การ์ตูน Disney ทุกเรื่องผลงานที่ผ่านมา- โฆษณา: คอนโดแสนสิริ, มิตซูบิชิ ปาเจโร, AIS, โรงพยาบาลศิริราช, นูทิไลท์- หนังสั้น: Wacoal (My Beautiful Woman 3/3), Present Perfect- MV: หากว่าย้อนเวลากลับไปได้ (พีท-พีระ), ปล่อย (ป็อป-ปองกูล)- ละคร: รอยฝันตะวันเดือด (ช่อง 3)ผลงานล่าสุด- ภาพยนตร์: The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อประวัติและผลงาน “นิว-ปทิตตา อัธยาตมวิทยา”ผลงานภาพยนตร์ - ปาย อิน เลิฟ (2552)- 9-9-81 บอก-เล่า-9-ศพ (2555)- The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ (2557)ผลงานละครช่อง 7 - เหลี่ยมรัก - วันนี้ที่รอคอย - ยมบาลเจ้าขา - บอดี้การ์ดสาว - แหม่มจ๋า ผลงานเพลง- อัลบั้ม "ความรัก ปากกา กีตาร์โปร่ง" (Love in the Light Lines) ค่าย Classy ติดชาร์ตอันดับ 1 ในประเทศไต้หวัน, ฮ่องกง, มาเก๊า ในปี พ.ศ. 2553ผลงานมิวสิควีดีโอ- อยู่กับเขาคิดถึงเธอ (วง Unvirgin)- เจ็บ...และชินไปเอง (วง ETC)ผลงานพิธีกร- รายการ ยำใหญ่ใส่สารพัด- รายการ วีสตาร์นิวส์- ผู้กำกับ และพิธีกร รายการ Pet Space @Fukduk TV- รายการ The Event ทางช่อง TNN (True)- รายการ เที่ยงบันเทิง- รายการ เส้นทางบันเทิง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit