ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และแนวโน้ม “บ. ซีเอฟจี เซอร์วิส” ที่ “A-/Stable”

02 Dec 2014
ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด (CFG166A CFG15OA และ CFG18OA) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของชื่อตราสัญลักษณ์ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ของบริษัทในส่วนของสินเชื่อบุคคลที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง เครือข่ายสาขาที่กว้างขวางทั่วประเทศ และฐานลูกค้าที่กระจายตัวดีด้วย อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงการได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินในฐานะที่เป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทก็เป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการจัดการกับขนาดสินเชื่อที่ค่อนข้างใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อเอาไว้ได้ ในขณะที่การสนับสนุนจากธนาคารแม่จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไปในระยะปานกลาง

บริษัทซีเอฟจี เซอร์วิส ก่อตั้งในปี 2549 โดย AIG Consumer Finance Group Inc. (AIGCFG) เพื่อซื้อสิทธิ์ในชื่อตราสัญลักษณ์ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” และสินทรัพย์ทั้งหมดยกเว้นลูกหนี้คงค้างจาก บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (1991) จำกัด ในปี 2552 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ถือครองหุ้นทั้งหมดของบริษัทจาก AIGCFG โดยปัจจุบันบริษัทจัดเป็นบริษัทลูกในกลุ่ม Non-solo Consolidation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และหลังจากเป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาแล้ว บริษัทก็มีความสามารถในการใช้ประโยชน์ด้านการจัดหาเงินทุนจากธนาคารในการขยายสินเชื่อของบริษัทรวมทั้งประโยชน์ด้านอื่น ๆ จากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับธนาคาร ซึ่งรวมถึงการใช้ช่องทางในการแนะนำลูกค้าและระบบการจัดการสินเชื่อหลัก บริษัทได้พัฒนาและปรับใช้ระบบปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงระบบการจัดการความเสี่ยงและสารสนเทศ บริษัทได้รับการตรวจสอบและติดตามจากธนาคารแม่อย่างใกล้ชิดและได้รับการควบคุมทางอ้อมจากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านทางธนาคารแม่ด้วย

บริษัทให้บริการกู้ยืมสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่ำซึ่งไม่มีเอกสารที่เป็นทางการแสดงที่มาของรายได้หรือมีเพียงบางรายการโดยใช้ยานพานะ เช่น รถยนต์ รถกระบะ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ และรถทางการเกษตร เช่น รถแทรคเตอร์ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ปัจจุบันบริษัทใช้ชื่อตราสัญลักษณ์ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและในกลุ่มบริษัทที่เสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทสินเชื่อบุคคลโดยใช้ยานพาหนะเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน การอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วเป็นกลยุทธ์หลักในการดึงดูดลูกค้า ความเสี่ยงของฐานลูกค้าของบริษัทได้รับการลดทอนลงบางส่วนจากสินเชื่อที่มีขนาดเล็กและฐานลูกค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวยังได้รับการควบคุมจากนโยบายการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการควบคุมและติดตามสินเชื่อที่แข็งแกร่งด้วย บริษัทมีการตั้งอัตราส่วนสินเชื่อที่อนุมัติต่อมูลค่าของหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันในระดับที่ค่อนข้างต่ำซึ่งช่วยลดทอนความเสี่ยงจากการขาดทุนจากการยึดและจำหน่ายหลักทรัพย์ค้ำประกัน บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อมซึ่งบริษัทจะได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ากลุ่มนี้อีกด้วย

ความต้องการรับบริการทางการเงินจากกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินยังคงมีอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากการสนับสนุนของธนาคารแม่ยังส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างความเติบโตที่เข้มแข็งแก่สินเชื่อของบริษัทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ กล่าวคือ สินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,673 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 10,060 ล้านบาทในปี 2556 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ที่ 57% สินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 12,556 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 ระบบปฏิบัติการของบริษัทจัดได้ว่ามีความเข้มแข็งและเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการจัดการสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่ในปัจจุบัน รวมทั้งความสามารถในการสร้างผลประกอบการที่น่าพอใจด้วยคุณภาพสินเชื่อในระดับที่ยอมรับได้

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนลดลงจาก 1.8% ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ มาอยู่ที่ระดับ 0.6% ณ สิ้นปี 2555 อัตราส่วนดังกล่าวรักษาระดับอยู่ที่ 0.6% ณ สิ้นปี 2556 สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฐานลูกค้าของบริษัทซึ่งโดยปกติมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่ค่อนข้างสูง บริษัทมีนโยบายการตั้งสำรองที่ระมัดระวังโดยมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 6.25% ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวมากเพียงพอต่อระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน

อัตราผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยรับของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันทางตรงของคู่แข่ง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในหลักทรัพย์ค้ำประกันของฐานสินเชื่อรวม และการขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพเครดิตที่เข้มแข็งขึ้น ส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยรับของบริษัทลดลงจาก 28.2% ในปี 2554 เป็น 21.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับ 4.4%-5% ในช่วงเดียวกัน ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 23.8% ในปี 2554 เป็น 16.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 หากบริษัทสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อในปัจจุบันเอาไว้ได้ อัตราส่วนดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายก็ยังคงถือว่าสูงเพียงพอที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นต่อไปได้ กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 57 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 401 ล้านบาทในปี 2556 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2553 เป็น 4.7% ในปี 2556 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิ 394 ล้านบาทและมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) เท่ากับ 4.5%

บริษัทมีการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่ดีภายใต้การควบคุมของธนาคารแม่ อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่และจัดเป็นบริษัทลูกในกลุ่ม Non-solo Consolidation ด้วย ซึ่งบริษัทที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าวจะมีข้อจำกัดในด้านการสนับสนุนทางการเงินที่จะได้รับจากธนาคารแม่ไปยังบริษัทลูก แม้ว่าจะมีข้อจำกัดดังกล่าว แต่ระดับวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่จำกัดไว้ให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถให้แก่บริษัทได้ยังคงมากเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายธุรกิจของบริษัทได้ บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยานับตั้งแต่มีสถานะเป็นบริษัทลูก หลังจากการปรับโครงสร้างเงินทุนในปี 2552 ฐานทุนของบริษัทก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มขึ้นของฐานทุนนั้นยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตที่ค่อนข้างมากของสินเชื่อ จึงส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงจาก 29.1% ในปี 2552 เป็น 15% ณ สิ้นปี 2556 ในเดือนพฤษภาคม 2557 บริษัทได้เพิ่มทุนอีก 1,800 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเงินทุนดังกล่าวช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 24.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และยังดำรงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงที่ 24.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 การสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการด้อยลงของอัตราส่วนทางด้านโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลงได้ บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด (CFGS) อันดับเครดิตองค์กร: A-อันดับเครดิตตราสารหนี้:CFG15OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A-CFG166A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A-CFG18OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A-แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable