จิตสำนึกของมนุษย์เรามีความสำคัญในการดำรงชีวิต โดยปกติจิตสำนึกทางสมองซ้ายเป็นผู้สั่งให้ทำงาน เช่น หยิบแก้ว เขียนหนังสือ ซึ่งมนุษย์ใช้สมองซ้ายจนเคยชิน น้อยครั้งที่จะปรากฏให้จิตสำนึกด้านสมองขวาควบคุมทำงานแทน ยกตัวอย่าง เวลาไฟไหม้ตกใจ บางคนสามารถยกโอ่งน้ำหนีได้โดยคนเดียว ซึ่งปกติทำไม่ได้ ดังนั้น ในเมื่อการทำงานของมนุษย์เราอยู่ภายใต้การทำงานของสมองใหญ่ มีพลังงานแท้ที่ซ้อนเร้นและมีคุณประโยชน์มหาศาลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเหตุใด เราจึงไม่หันมาพัฒนาขีดความสามารถการทำงานของสมอง เรียน รู้การทำงานของจิตสำนึก จิตใต้สำนึกที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในสมองให้เกิดประโยชน์ มีภูมิป้องกันโรคและบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายให้หายเองได้ สุขภาพร่างกายแข็งแรง
ด้วยความถี่ของสมองมีความสำคัญ หากเราสามารถปรับเปลี่ยนความถี่สมองได้ เปลี่ยนความถี่สนามแม่เหล็กได้ จะทำให้เราเข้าถึงพลังงานมหาศาลที่ถูกซ่อนเร้นในร่างกาย เช่นเดียวกับการแพทย์ในสมัยปัจจุบัน มีการใช้เครื่องวัดคลื่นสมองมาตรวจวัดเวลานั่งสมาธิ ซึ่งปรากฏว่าลักษณะคลื่นแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ ในชีวิตประจำวัน หากเราใช้ความคิดและปฏิบัติงานตามปกติ สมองจะปรากฏคลื่น BETA หรือในระดับความถี่ 14 -30 รอบ / วินาที) แสดงว่าเวลานี้ไม่ใช่อยู่ในภาวะนิ่ง จึงไม่รู้สึกสัมผัสสนามพลังแม่เหล็ก แต่เมื่อเราค่อยๆ ผ่อนคลายเข้าสู่ภาวะนิ่ง สมองจะปรากฏคลื่น Alpha หรือในระดับความถี่ 8-13 รอบ / วินาที) และเมื่อสมองปรากฏ คลื่นความถี่ 10 -13 รอบ / วินาที เราจะสัมผัสได้ถึงสนามพลังแม่เหล็กอ่อนๆ เมื่อสมองปรากฏ คลื่นความถี่ 8 - 9 รอบ/วินาที ผู้ฝึกจะสามารถสัมผัสสนามพลังแม่เหล็กชัดเจนและรุนแรง รวมทั้งจะเห็นแสงสว่างหรือรูปภาพ
การเปลี่ยนความถี่คลื่นสมองและเปลี่ยนสนามแม่เหล็กจึงมีความสำคัญ เพราะเมื่อสมองปรากฏคลื่น Alpha หรือ Theta สมองใหญ่จะหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ออกมา เช่น Endorphin เป็นต้น การเกิดฮอร์โมนชนิดนี้ สามารถทำให้คนเกิดความรู้สึกมีความสุข กระตือรือร้น รวมทั้งเพิ่มภูมิป้องกันโรคและบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายให้หายเองได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดปรัชญาคนโบราณเชื่อว่า “ชี่” เป็นจุลวัตถุเล็กที่สุดที่เป็นส่วนประกอบของวัตถุสสารทั้งหลายทั้งมวลของจักรวาล ซึ่งในการแพทย์ตะวันออกในตำราอี้จิง และตำราแพทย์หวงตี้เน่ยจิง ตำราแพทย์จีนเก่าแก่ รวมทั้งวิชาโยคะของอินเดียที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน ล้วนยอมรับแหล่งกำเนิดแก่นสารชีวิตมนุษย์นั้นคือสมรรถนะของชี่ จำนวนมหาศาลที่สะสมอยู่ในคลังร่างกายมนุษย์ ที่น้อยนักที่มนุษย์จะค้นพบ
รวมทั้งถ้าพูดในนัยของวิทยาศาสตร์ “ชี่” เปรียบเหมือนประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดพลังงานจุลและพลังงานศักย์ในร่างกาย ซึ่งแต่ละคนมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป เป็นเรื่องที่ต้องเรียกว่า เฉพาะบุคคล เปรียบเสมือนการดื่มชาที่ต้องการบอกรสชาติของชามะลิให้กับคนที่ไม่เคยรู้จักมะลิมาก่อน มีเพียงวิธีเดียวคือต้องทดลองดื่มด้วยตนเอง อีกนัยหนึ่ง ต้องเริ่มต้นฝึกชี่กงอย่างจริงจัง เมื่อฝึกไปถึงขั้นสูงจะทำให้เกิดปัญญาเปลี่ยนความถี่สมอง และเปลี่ยนสนามแม่เหล็ก
ในเมื่อมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนความถี่สมอง และเปลี่ยนความถี่สนามแม่เหล็กได้ด้วยการฝึก “ชี่กง” และด้วยการส่งพลังไปที่จุดกึ่งกลางของสมอง หรือ จุด “ไป่ฮุ่ย” เพื่อให้จักระทั้ง 7 เปิด และเมื่อ 7 จักระเปิดแล้ว จะทำให้คลื่นความถี่สมองเปลี่ยนทันที รวมทั้งทำให้ตาที่สามเปิด ผู้ฝึกชี่กง หรือผู้ที่ได้รับพลังจะเห็นแสง สัมผัสได้ถึงพลังงานเคลื่อนไหวในร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการฝึกชี่กงระดับสูงหรือการนั่งสมาธิลึกจำเป็นต้องมีอาจารย์ที่รู้จริงคอยแนะอย่างถูกต้อง หากผู้ใดสนใจหลักสูตรชี่กง เรียนทุก 3 เดือน ในวันพุธ เวลา 09.00 -11.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ชี่กงอาจารย์หยาง 0-2637-0121-2 หรือ www.qigongthai.com
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit