ช.การช่าง ลงนามก่อสร้างสัญญาโรงผลิตน้ำประปา 3,500 ล้านบาท จับมือ TTW บุกพม่า มั่นใจพื้นฐานแข็งแกร่ง Backlog กว่าแสนล้านบาท ไม่หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว

25 Dec 2014
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2557 บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาออกแบบและก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปา ของกลุ่มบริษัท ทีทีดับเบิ้ลยู จำกัด (มหาชน) (TTW) เพื่อขยายกำลังผลิตน้ำประปาในพื้นที่สมุทรสาคร-นครปฐม มูลค่า 3,106 ล้านบาท และพื้นที่ปทุมธานี-รังสิต มูลค่า 392 ล้านบาท มูลค่ารวม 3,498 ล้านบาท โดยงานทั้งหมดใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี นอกจากนี้ ช.การช่าง ร่วมกับ TTW อยู่ระหว่างศึกษาและเตรียมการที่จะดำเนินการก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปาในประเทศพม่า โดยจะเริ่มที่เมืองเมาะลำใยเป็นแห่งแรก คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในต้นปี 2558 นี้

นายปลิว กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ ช. การช่าง มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมั่นใจว่าจะมีรายได้จากงานก่อสร้างทั้งปีเกินกว่า 33,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ 30,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานไม่น้อยกว่า 8-10% อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) กว่า 1,000 ล้านบาท และการขายหุ้นบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กว่า 227 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 นี้ รวมถึงเงินปันผลจากบริษัทฯที่ไปลงทุนไว้ อีกกว่า 600 ล้านบาท ทำให้รายได้ทั้งปีของ ช.การช่าง มากกว่า 34,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน ในส่วนของงานในมือปีนี้มีงานใหม่กว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางปะอิน เฟส 2 มูลค่ากว่า 4,611 ล้านบาท งานก่อสร้างเพิ่มเติมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีเขียว มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท และงานก่อสร้างโรงผลิตน้ำประปา มูลค่า 3,498 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอลงนามงานก่อสร้างระบบสายไฟฟ้าใต้ดินให้แก่การไฟฟ้านครหลวง อีกกว่า 1,100 ล้านบาท ผลการดำเนินงานนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ และกลยุทธ์การลงทุนที่บริษัทฯได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดี

“ปี 2557 นี้แม้ว่าในประเทศจะมีปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจจะชะลอตัว รวมทั้งมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก งานก่อสร้างต่างๆ ของภาครัฐเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่โดยรวมถือว่าไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพราะปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog ในมือกว่า 100,000 ล้านบาท เพียงพอเป็นรายได้ก่อสร้างได้อีก 4 ปี มีรายได้จากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและมีงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนงานในมือที่ดำเนินการอยู่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงสนามไชย – ท่าพระ มีความก้าวหน้ากว่า 60% แล้ว โดยขณะนี้อุโมงค์รถไฟฟ้าอุโมงค์แรกได้ขุดเจาะลอดแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเสร็จ และกำลังจะเริ่มขุดเจาะอุโมงค์ที่สอง โดยคาดว่างานจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2559 โครงการจัดซื้อระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ –บางซื่อ บริษัทฯได้เริ่มผลิตขบวนรถไฟฟ้าแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น โดยให้บริษัท J-TREC (Japan Transport Engineering Company) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าความเร็วสูง Bullet Train ที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ดำเนินการ โดยคาดว่ารถไฟฟ้าขบวนแรกจะส่งมาถึงประเทศไทยในปลายปี 2558 ก่อนจะเริ่มทดสอบระบบ โดยคาดว่า BMCL จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการได้กลางปี 2559 และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในเดือนสิงหาคม 2559 ส่วนโครงการสำคัญอื่นๆ เช่น โครงการไซยะบุรี มีความก้าวหน้ากว่า 45% โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ มีความก้าวหน้ากว่า 50%”

นายปลิว กล่าวเสริมว่า กลยุทธ์การดำเนินงานของ ช.การช่าง ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ ช.การช่างเดินหน้าในธุรกิจก่อสร้างและพัฒนาระบบสาธารณูปโภคได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งโดยบริษัทฯเป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้พัฒนาโครงการที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ในส่วนของแผนการลงทุนและดำเนินธุรกิจในปี 2558 บริษัทฯ จะเข้าร่วมแข่งขันในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐอย่างเต็มที่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่ โครงการมอร์เตอร์เวย์ โดยมั่นใจว่าจะได้ส่วนแบ่งงานก่อสร้างกว่า 20-25% ของงานทั้งหมด และพร้อมที่จะเข้าร่วมลงทุนดำเนินการในโครงการของภาครัฐแบบ PPP ทั้งโครงการทางด่วน รถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า น้ำประปา โดยมีบริษัทในกลุ่ม BECL, BMCL, TTW และ CKP เป็นผู้ร่วมดำเนินการ ในต้นปี 2558 นี้คาดว่างานสัมปทานเดินรถ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย จะได้ข้อสรุปอย่างแน่นอน ซึ่ง ช.การช่าง ร่วมกับ BMCL มั่นใจว่าจะสามารถเร่งรัดดำเนินการโครงการนี้เปิดให้บริการแก่ประชาชนได้โดยเร็วที่สุด

ปัจจุบันบริษัทฯได้รับความสนใจจากนักลงทุน ทั้งนักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้ไป Road Show ที่ประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกงและมาเลเซีย และได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดี โดยล่าสุดบริษัทฯ บริษัทฯได้จัดอันดับเข้าสู่ SET50 ทำให้หุ้นของบริษัทฯเป็นที่สนใจของนักลงทุนและสถาบันต่างๆ เป็นอย่างมาก