เกษตรฯ ชี้ 8 จังหวัดภาคตะวันออกพ้นวิกฤตแล้งยันมีน้ำเพียงพอจนถึงฤดูฝนปีหน้า เหตุวางระบบโครงข่ายน้ำช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ

19 Nov 2014
นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำภาคตะวันออกว่า ปริมาณฝนที่ตกมาในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน รวม 1,698 มิลลิเมตร ต่ำกว่าค่าปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยคือ 1,888 มิลลิเมตรเล็กน้อย ดังนั้น จึงทำให้มีน้ำเพียงพอต่อการใช้น้ำในทุกกิจกรรม โดยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี อ่างเก็บน้ำที่สำคัญๆ คือ อ่างเก็บน้ำบางพระและหนองค้อ ขณะนี้มีปริมาณน้ำที่ใช้ได้รวมกัน 73.8 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และคาดว่าจะมีน้ำไหลลงอ่างฯ อีกอย่างน้อยที่สุด 8 ล้านลบ.ม. ส่วนความต้องการใช้น้ำในฤดูแล้งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 – 30 เมษายน 2558 ประมาณ 37.25 ล้านลบ.ม. คาดว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งแล้วจะยังเหลือน้ำใช้การของทั้ง 2 อ่างฯ รวมกันประมาณ 44.55 ล้านลบ.ม.

นอกจากนี้จังหวัดชลบุรียังมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางอีก 5 แห่ง ได้แก่ อ่างฯ มาบประชัน อ่างฯ ซากนอก อ่างฯ หนองกลางดง อ่างฯ ห้วยสะพาน และอ่างฯห้วยขุนจิต ขณะนี้มีน้ำใช้การได้รวม 26 ล้านลบ.ม. ซึ่งในพื้นที่บริเวณนี้จะมีความต้องการใช้น้ำช่วงแล้งนี้ราว 15.5 ล้านลบ.ม ดังนั้นมีน้ำใช้การเหลืออีก 10.5 ล้านลบ.ม.

ส่วนจังหวัดระยอง ปัจจุบันปริมาณน้ำในอ่างคลองใหญ่ หนองปลาไหล และดอกกราย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่เชื่อมต่อเป็นโครงข่ายน้ำ มีปริมาณน้ำใช้การรวมกัน 221 ล้านลบ.ม. รวมทั้งการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ 36 ล้านลบ.ม. ประกอบกับมีปริมาณน้ำท่าที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำอย่างน้อย 35 ล้านลบ.ม. ทำให้จังหวัดระยองมีปริมาณน้ำต้นทุนรวมประมาณ 292 ล้านลบ.ม. ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำตลอด 6 เดือน ในช่วงฤดูแล้งประมาณ 180 ล้านลบ.ม. เท่านั้น สำหรับ 6 จังหวัดทางภาคตะวันออกที่เหลือ คือ ตราด จันทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ก็มีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภค-บริโภค การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเช่นกัน

ด้านนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าสถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยาว่า ขณะนี้กรมชลประทานได้งดการส่งน้ำเพื่อทำนาปรังแล้ว จะเหลือเพียงการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การประปา การรักษาระบบนิเวศน์ของ ลำน้ำ และน้ำเพื่อการปลูกพืชไร่พืชผักที่ใช้น้ำน้อยเท่านั้น โดยจะทำการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์รวมกัน วันละ 10 ล้านลบ.ม. และจากเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์รวมกันอีกวันละ 6 ล้านลบ.ม.

“กรมชลประทานขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้งดปลูกข้าวนาปรัง แม้ขณะนี้จะเห็นว่าลุ่มเจ้าพระยามีน้ำท่าปกติ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีฝนตกทำให้มีน้ำตามธรรมชาติค้างอยู่ แต่คาดว่าน้ำตามธรรมชาติจะหมดเมื่อสิ้นสุดเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งหากฝืนทำนาปรังจะเสี่ยงต่อการขาดน้ำ นาข้าวเสียหายได้” รองอธิบดีกล่าว

สำหรับสถานการณ์น้ำของประเทศโดยรวมยังคงมีน้ำใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศน์ อย่างเพียงพอ แต่สำหรับน้ำเพื่อภาคการเกษตรจะไม่เพียงพอในบางพื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือในพื้นที่ชลประทานของเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ภาคอีสานในพื้นที่ชลประทานของเขื่อนห้วยหลวง เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำมูลบน เขื่อนลำแซะ เป็นต้น ส่วนภาคกลางในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำแม่กลอง ทางกรมชลประทานได้ออกประกาศงดการส่งน้ำไปแล้ว