นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2557 อัตราการขยายตัวของจีดีพีคาดว่าจะต่ำกว่า 1.6% จากการที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวล่าช้า สำหรับแนวโน้มในปี 2558 อัตราการขยายตัวของจีดีพีจะอยู่ในกรอบประมาณการที่ 3.5-4.5% โดยมีแรงส่งจากการฟื้นตัวของแรงขับเคลื่อนในประเทศ นำโดยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยคาดว่าการมูลค่าการลงทุนโดยรวมจะขยายตัวจากปี 2557 ที่ 6% ทั้งนี้ ผลกระทบจากการที่ประเทศแกนนำทางเศรษฐกิจของโลกยังฟื้นตัวไม่พร้อมกัน มีเพียงสหรัฐอเมริกาที่ขยายตัวโดดเด่น จึงคาดว่าปีหน้ามูลค่าการส่งออกไทยจะขยายตัวจากปี 2557 ที่ 3.5% สำหรับเหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง คือ การเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปลายปี 2558 ซึ่งจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะขยายตัวกว่า 5.2% และจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ขณะเดียวกันกลุ่ม AEC+3 (รวมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ซึ่งมีขนาดจีดีพีรวมเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพีโลก จะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับที่ 1 ของไทย และกำลังดำเนินนโยบาย “Going out Policy” คือผลักดันให้ธุรกิจจีนขยายการลงทุนไปต่างประเทศ และบทบาทของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับที่ 3 ของไทย และมีนโยบาย “Thailand Plus One” คือการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน แต่ได้มีการย้ายฐานการผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปยังประเทศกลุ่มเพื่อนบ้าน CLMV+I (อินโดนีเซีย) ที่มีข้อได้เปรียบไทยเรื่องต้นทุนและจำนวนแรงงาน
นายปรีดี กล่าวว่า ภายใต้บริบทดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยได้กำหนดเป้าหมายธุรกิจปี 2558 ที่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค โดยธนาคารตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดยรวมอยู่ที่ 8-9% อัตราส่วนผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ที่ 3.5-3.7% มีอัตราส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Non-Interest Income Ratio) ที่ 40% และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม หรือ NPL ที่ระดับ 2.2-2.3% รวมทั้ง
ตั้งเป้าหมายครองอันดับหนึ่งการเป็นธนาคารหลักของลูกค้าทุกกลุ่ม รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งและบริการด้านธุรกรรมทางการเงิน และการเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม “AEC+3 Bank” ที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการลงทุนและธุรกรรมข้ามชาติที่จะเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลในภูมิภาคนี้
นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากเป้าหมายทางธุรกิจของธนาคาร ในปี 2558 ดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะมุ่งเน้น 4 ด้านสำคัญ เพื่อผลักดันธุรกิจของธนาคารให้ไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ได้แก่
1.การเป็นอันดับหนึ่งด้านธนาคารหลักของลูกค้า (Customer’s Main Bank) ในทุกกลุ่มลูกค้า และมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจากผลสำรวจด้านการเป็นธนาคารหลักของลูกค้าและความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยจัดอยู่ในกลุ่มผู้นำมาอย่างต่อเนื่อง และจะรักษาความเป็นผู้นำต่อไป โดยการส่งมอบบริการทางการเงินและการให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ภายใต้แนวคิดการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity)
2. การเน้นย้ำเรื่องบริการที่เป็นเลิศตามแนวคิด “บริการทุกระดับประทับใจ” และการเสริมสร้างตำแหน่งทางการตลาดนี้ให้แข็งแกร่ง ธนาคารมุ่งเน้นการเสริมสร้างแบรนด์เพื่อเน้นย้ำการให้บริการที่เป็นเลิศ ตามแนวคิด “บริการทุกระดับประทับใจ” เพื่อยกระดับการให้บริการให้มีความโดดเด่น โดยได้มีการตั้งสายงานการให้บริการลูกค้า (Customer Service Fulfillment Division: CSF) เพื่อดูแลยุทธศาสตร์ในด้านนี้อย่างเจาะจง
3. การเป็นผู้นำ การให้บริการทางการเงินในโลกดิจิตอล (Digital Banking) และบริการธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Banking) จากผลสำรวจด้าน Digital Banking Perception ธนาคารกสิกรไทยเป็นอันดับ 1 และธนาคารฯ มุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ โดยการพัฒนานวัตกรรมบริการดิจิตอลแบงกิ้งให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้ารายย่อย และการพัฒนาบริการด้านธุรกรรม หรือ Transaction Banking โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ ในยุค Digital Economy ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของความปลอดภัยด้านข้อมูลสูงสุด เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นผู้นำในด้านการให้บริการทางการเงินในโลกดิจิตอล และบริการ Transaction Banking ซึ่งถือเป็นรายได้ที่มีความสำคัญต่อธนาคาร
4. การเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม “AEC+3 Bank” เพื่อตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจซึ่งมาจากการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมถึงโอกาสทางธุรกิจกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หรือ AEC+3 ธนาคารมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และมีเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารหลักของลูกค้าสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ และการชำระเงินข้ามประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+ 3
ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีสำนักงานต่างประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+3 และประเทศอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 แห่ง แบ่งเป็น ธนาคารท้องถิ่น 1 แห่ง ได้แก่ สปป.ลาว สาขา 6 แห่ง ได้แก่ สาขาเซินเจิ้น สาขาย่อยหลงกั่ง เซินเจิ้น สาขาเฉิงตู สาขาฮ่องกง สาขาลอสแองเจิลลิส สาขาหมู่เกาะเคย์แมน สำนักงานผู้แทน 7 แห่ง ได้แก่ สำนักงานผู้แทนปักกิ่ง สำนักงานผู้แทนเซี่ยงไฮ้ สำนักงานผู้แทนคุนหมิง สำนักงานผู้แทนย่างกุ้ง สำนักงานผู้แทนฮานอย สำนักงานผู้แทนโฮจิมินห์ สำนักงานผู้แทนโตเกียว และที่กำลังเตรียมการจัดตั้ง ได้แก่ สำนักงานผู้แทนจาการ์ตา สาขาพนมเปญ สำหรับเครือข่ายธนาคารพันธมิตรมีจำนวน 66 ธนาคาร ใน 9 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมัน อิตาลี ลาว เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของการเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม “AEC+3 Bank ในปี 2558 ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักลงทุนจีนในประเทศไทย 471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2557 รายได้จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย 1,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% พร้อมตั้งเป้าหมายยอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-จีน ผ่านธนาคารกสิกรไทย 396,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ยอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น ผ่านธนาคารกสิกรไทย 156,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และมียอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-อาเซียน ผ่านธนาคารกสิกรไทย 185,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของธนาคารกสิกรไทยในประเทศจีน ในปี 2558 คาดว่าจะมียอดธุรกรรมระหว่างประเทศผ่านธนาคารกสิกรไทย 8,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2557 มียอดสินเชื่อ 3,750 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 44% และยอดเงินฝาก 4,950 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 106% ส่วนเป้าหมายการดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ในปี 2558 คาดว่าจะมียอดธุรกรรมระหว่างประเทศผ่านธนาคารกสิกรไทย 3,000 ล้านบาท มียอดสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% และมียอดเงินฝาก 250 ล้านบาท
นายธีรนันท์ กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารคาดว่าจะมีความต้องการเม็ดเงินลงทุนหลายโครงการ ทั้งการค้าระหว่างประเทศ (Trade Volume) ในอาเซียนที่มีมูลค่ารวมกว่า 11 ล้านล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนเมืองในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกที่มีสัดส่วนการเติบโตกว่า 10% โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใสในปี 2558 ได้แก่ ธุรกิจกลุ่มวัสดุก่อสร้าง สื่อสารโทรคมนาคม ค้าปลีกสมัยใหม่ และค้าปลีกตามแนวชายแดน ท่องเที่ยวและธุรกิจด้านสุขภาพ และ ส่งออกสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น รถยนต์ สินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น อาหารแปรรูป ซึ่งธนาคารฯ พร้อมจะเข้าไปให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจบรรษัทและเอสเอ็มอี รวมทั้งบริการที่รองรับการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้ารายย่อย และมั่นใจว่าในปี 2558 จะเป็นปีสำคัญที่ธนาคารกสิกรไทยจะเติบโตอย่างมั่นคง และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้ได้แน่นอน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit