Fight the Fat Off กับ Apex Profound Beauty

29 May 2014
การมีรูปร่างที่สมส่วน ไม่เพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังหมายถึงสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงด้วย พ.ญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ ผู้ก่อตั้ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ (Apex Profound Beauty) ผู้นำด้านนวัตกรรมความงามเพื่อการดูแลผิวพรรณและรูปร่าง จัดงาน “ไฟท์ เดอะ แฟท ออฟ (Fight the Fat Off)” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาตระหนักและใส่ใจในสุขภาพด้วยการดูแลรูปร่าง โดยมี น.พ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน และควบคุมน้ำหนัก แห่ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ มาให้ความรู้เกี่ยวกับการกำจัดไขมันส่วนเกิน ผ่านการรับประทานอาหารที่ถูกวิธี และการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้หนุ่มสาวได้มีรูปร่าง สมส่วน โดยภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการนำเสนอ 10 นวัตกรรมที่ช่วยลดไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วน พร้อมด้วยเหล่า เซเลบริตี้ที่สนใจอยากรู้เคล็ดลับการมีทรวดทรงที่ดี ไร้ไขมันส่วนเกิน ร่วมชมงาน ณ สยามพารากอน
Fight the Fat Off กับ Apex Profound Beauty

น.พ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน และควบคุมน้ำหนัก แห่ง เอเพ็กซ์ โปรฟาวด์ บิวตี้ เผยว่า “ปัจจุบันปัญหา เรื่องของน้ำหนักเกิน หรือไขมัน เป็นปัญหาแก้ไขยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะมีทั้งไขมันตามตัวที่ผิว เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือที่หลายคนเรียกว่าห่วงยาง แม้กระทั่งต้นแขน ต้นขา หรือไขมันในเลือด และไขมันที่อยู่ในช่องท้องภายใน เป็นต้น ดังนั้นเมื่ออ้วนและมีไขมัน สาวๆ หลายคนจึงเลือกที่จะอดอาหาร ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อทำเป็นเวลานาน จะสามารถกลายเป็นไขมันชั้นในได้ ทำให้การรักษาจะยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเวลาที่เราอดอาหารทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ดังนั้นร่างกายจะเกิดการต่อต้าน แล้วดึงเอาไขมันกลับคืนไปสะสมไว้ในร่างกาย เราจึงต้องหันมาดูแลในเรื่องของการควบคุมอาหาร ควบคุมจำนวนแคลอรี่แทน อย่างสาวออฟฟิตที่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ ไม่ค่อยได้มีกิจกรรม รวมถึงไม่มีเวลาออกกำลังกาย ควรดูแลเรื่องของการรับประทานอาหารในปริมาณ 1,000 – 1,200 แคลอรี่ต่อวัน โดยอาหารที่ควรรับประทานควรเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ อย่างถั่ว น้ำเต้าหู้ และเนื้อปลา งดแป้งและน้ำตาล อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตต่างๆ และควรงดอาหารมื้อเย็นด้วย ผลที่ได้คือน้ำหนักที่ลดลงอย่างเห็นผลชัดเจน แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ จะทำให้ร่างกายเผาผลาญทั้งไขมันและกล้ามเนื้อออกไป เราจึงควรออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยังช่วยให้น้ำหนักที่ลดลงนั้นคงที่ ซึ่งการออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ช่วยบริหารหัวใจ อย่างการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน และควรทำอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สลับกับการออกกำลังกายที่เน้นสร้างกล้ามเนื้อ เช่นยกเวทเบาๆ เล่นโยคะ หรือพิลาทิส 2 ครั้งต่อสัปดาห์

แม้ว่าวิธีที่ได้กล่าวมาจะเห็นผลแต่ก็ใช้เวลา การนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการลดน้ำหนักส่วนเกินจึงมีบทบาท โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมีการวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ด้วยการตรวจวัดค่าไขมันชั้นนอก และไขมันชั้นใน เมื่อได้ผลค่าไขมัน จึงเข้าสู่ขั้นตอนของการวิเคราะห์วางแผนในการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมในการรักษาไขมันในแต่ละชั้น โดยจะดูตามความเหมาะสม เช่น ลักษณะไขมันที่คนไข้เป็น เป็นมานานหรือไม่ จากนั้นคนไข้มีเวลาในการรักษาไหม คนไข้คาดหวังผลในการรักษาเร็วแค่ไหน เพราะการรักษาเพื่อให้ได้ผลที่มีประสิทธิภาพ คนไข้จะต้องมีความตั้งใจเป็นหลัก และให้ความร่วมมือกับแพทย์ผู้รักษา ต้องมีวินัยในการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย เพราะหากคนไข้มีความตั้งใจและวินัย การลดน้ำหนักส่วนเกินก็จะประสพผลสำเร็จ นวัตกรรมวิทยาการต่างๆ จะมีส่วนร่วมเสริมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก 2 หนุ่มนักธุรกิจ คริส - กฤษฎิ์ ชวาลรัตน์ และ ต๊อบ - กิตติเดช จารุเสถียร มาเผยความรู้สึกจากคนที่เคยมีน้ำหนักตัวมากๆ จนวันนี้สามารถลดน้ำหนักมีรูปร่างที่เพียวสมส่วนขึ้น โดย คริส - กฤษฎิ์ ชวาลรัตน์ ที่สามารถลดน้ำหนักไปได้ถึง 47 กิโลกรัม เผยว่า “สมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา เคยรับประทานยาลดความอ้วน ทั้งที่เวลานั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ 65 กิโลกรัม แล้วเกิดโยโย่ขึ้นมาเป็น 122 กิโลกรัม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอ้วนแต่อย่างใด จนเมื่อกลับมาที่ประเทศไทย เสื้อผ้าเริ่มไม่มีไซส์ แม้กระทั่งชุดนอนยังต้องสั่งตัด เวลาไปทานก๋วยเตี๋ยว เจอเก้าอี้ที่เป็นพลาสติกต้องมองดูก่อนจะนั่งว่ามันจะหักไหม การใช้ชีวิตเริ่มลำบากขึ้น ประกันชีวิตต่างๆ ไม่รับเป็นลูกค้า เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกิน ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก คุณแม่จึงแนะนำให้เข้ามารับการรักษา ได้มีการตรวจเลือดแล้วพบว่าตับเริ่มแย่ จึงเริ่มรักษาด้วยการปรับสมดุลของร่างกายด้วยการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร รวมถึงการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยลดไขมันส่วนเกิน ยอมรับว่าในตอนนั้นท้อมาก เพราะผมทำงานอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม ต้องขับรถเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมารักษา อาทิตย์หนึ่ง 2-3 ครั้ง ผมใช้เวลารักษาอยู่ 2 ปีครึ่ง ปัจจุบันน้ำหนักผมอยู่ 75.5 กิโลกรัมครับ แต่ผมยังมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนักให้เหลือ 70 กิโลกรัม แม้ว่าตอนนี้ผมจะใช้วิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย เมื่อรักษาน้ำหนัก แต่สิ่งที่ได้รับหลังการลดน้ำหนักคือ สุขภาพที่ดีขึ้น จากที่เคยเหนื่อยหอบง่าย หรืออาการนอนกรน เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว และยังทำให้บุคลิกของเราดีขึ้นอีกด้วยครับ”

ด้าน ต๊อบ - กิตติเดช จารุเสถียร เป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 30 กว่ากิโลกรัมเผยว่า “เพราะเคยนั่งทานข้าวกับคริส แล้วเห็นเขาเดินไปหยิบน้ำแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร พร้อมอาการเหนื่อยหอบ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากลดน้ำหนักแต่อย่างใด แต่พอเห็นอาการหอบของเขาทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ได้ล่ะ เรา 2 คนต้องไปพบคุณหมอแล้วล่ะ ทั้งที่ตอนนั้นผมเองก็มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 117 กิโลกรัม และยังออกกำลังกาย ยกเวท ตีแบดมินตัน จนน้ำหนักลดลงมาที่ 110 กิโลกรัม แต่ก็ขึ้นกลับไปใหม่เป็นอยู่แบบนี้ จนเมื่อตัดสินใจไปพบคุณหมอเพราะแค่อยากมีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์มมากขึ้น แต่เมื่อตรวจเลือดผลออกมาว่ามีน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน คุณหมอก็แจ้งต่อว่า หากน้ำหนักไม่สามารถลดลงมาได้ 2 หลัก อย่างไรร่างกายก็เสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคอันตราย ผมจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษา โดยใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ผมควบคุมอาหาร โดยการทานหลายๆ มื้อ พร้อมกับออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญ ซึ่งปัจจุบันน้ำหนักของผมอยู่ที่ 88 กิโลกรัม สิ่งที่ผมได้รับหลังจากที่ผมสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ ผมมีความสุขกับตัวเองมากขึ้นครับ สามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด ทำให้ผมมีสุขภาพที่แข็งแรง มีเวลาได้ดูแลตัวเอง รับประทานอาหารดี เพื่อจะได้ดูแลสุขภาพของตัวเองต่อไป มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น สามารถทำงานและดูแลธุรกิจต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลถึงโรคร้ายที่จะเกิดจากความอ้วนอีกครับ”

รูปร่างที่ดีไม่เพียงเป็นเรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน ฉะนั้นหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งหลาย จะต้องสู้...กำจัดไขมันให้ออกไป เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ต้องเสี่ยงจากโรคภัยที่เกิดจากไขมันสะสม

Fight the Fat Off กับ Apex Profound Beauty