นางสาวปวีณา เหล่าวิวัฒน์วงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จํากัด (มหาชน) (UMI) ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายกระเบื้องปูพื้นดูราเกรส กระเบื้องบุผนังดูราเกรส-ลีลา เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้ในการคืนหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
“การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบตลาด เพราะเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเป็นอย่างดี เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” นางสาวปวีณา กล่าว
ก่อนหน้านี้ ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการออกหุ้นกู้ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนํามาปรับปรุงเทคโนโลยีทางการผลิตให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในส่วนของกระบวนการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเพื่อนําไปชําระคืนเงินกู้ ซึ่งจะทําให้ประหยัดต้นทุนทางการเงิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว จากปัญหาการเมืองในประเทศ
ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า การออกหุ้นกู้ยังช่วยให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในการขยายกิจการในอนาคตอีกด้วย สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจ หลังรวมกลุ่มธุรกิจเป็น UMI GROUP โดยได้มีการวางแผน การผลิตกระเบื้องไซส์ใหญ่ ซึ่งจะให้บริษัท ที.ที เซรามิค จํากัด (TCC) ผลิตทำการสินค้าภายใต้แบรนด์ดูราเกรส เพื่อทดแทนสินค้านําเข้าที่คาดว่าจะมีราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการประกาศใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก มอก. 2508-2555 ซึ่งทาง UMI GROUP ก็ได้รับใบอนญุาต มอก. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บริษัททริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตองค์กร บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) ที่ “BBB-“ ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย ตลอดจนตราสัญลักษณ์สินค้าและชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านคุณภาพ รวมถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อกิจการของ บริษัท ที.ที. เซรามิค จากัด และ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จากัด (มหาชน) ในสัดส่วน 89% และ 32% ตามลำดับ
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทน่าจะเติบโตถึงระดับ 4,000 ล้านบาทต่อปีตามประมาณการพื้นฐาน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทจะมาจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ที.ที. เซรามิคซึ่งน่าจะมีผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยน่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 6%-10% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 52% ณ สิ้นปี 2556 เหลือ 40%-45% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทไม่น่าจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่มากกว่า 500 ล้านบาท ในอนาคตอันใกล้นี้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit