นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงทันทีเมื่อเปิดตลาดในช่วงเช้า 20 จุด ก่อนที่จะฟื้นตัวเล็กน้อยและปิดลบ 15.9 จุดในช่วงปิดตลาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนไม่ได้วิตกกับสถานการณ์ดังกล่าวมากนัก กอปรกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศไทย ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด
สำหรับภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งสมาคมฯ ประเมินว่า อาจจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันในระยะสั้นๆ ของการรับรู้ข่าวสารและสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยเพราะเป็นสินค้าและบริการที่มีราคาสูง เปรียบได้ว่าเป็นการลงทุนระยะยาวของผู้บริโภค ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้มีการสุ่มสำรวจข้อมูลกับสมาชิกถึงผลกระทบที่ได้รับทันที โดยพบว่าสมาชิกที่เปิดกิจการหรือมีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่ส่อว่ามีโอกาสจะเกิดความรุนแรง เช่น กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่ามีสมาชิกถูกลูกค้าปฏิเสธการทำธุรกรรม หรือขอชะลอการตัดสินใจจอง-เซ็นสัญญาเอาไว้ก่อน ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ รอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ในส่วนของสมาชิกที่เปิดกิจการอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าคงมีการทำธุรกรรมกันเป็นปกติ
“แม้ว่าประเทศไทยจะมีการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งสวนทางกับหลักประชาธิปไตย แต่ถ้าสามารถลดโทนหรือยุติความขัดแย้งระหว่าง 2 ขั้วอำนาจทางการเมืองที่ยืดเยื้อมากว่าครึ่งปีลงได้ก็เชื่อว่านักลงทุนและประชาชนน่าจะยอมรับได้ ณ เวลานี้ อย่างไรก็ตาม กองทัพเองก็จำเป็นจะต้องนำประเทศไทยกลับเข้าสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว มิฉะนั้น นานาประเทศทั่วโลกอาจต่อต้านหรือไม่ยอมรับ และอาจจะนำมาซึ่งความเสียหายทางการค้าของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต”
สมาคมฯ ประเมินปริมาณและมูลค่ารวมรับสร้างบ้านในกลุ่มสมาชิกไตรมาสสองนี้ คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะหากไม่มีการชุมนุมประท้วงของประชาชน และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองยุติลง เชื่อว่าทิศทางตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสสองจะกลับมาเป็นขยายตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดที่มีการขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักให้ฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม ทั้งนี้ สมาคมฯ ยังคงตั้งเป้าผลักดันมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศเติบโตทะลุ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2557 นี้
นายสิทธิพร กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น และรายเดิมๆ ก็มีการขยายสาขาในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ประการหนึ่งก็ทำให้เกิดการพัฒนาและแข่งขันกัน สร้างการรับรู้และยอมรับสู่ผู้บริโภคในวงกว้าง ประการถัดมาก็ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจต่อธุรกิจรับสร้างบ้านมากขึ้นและมีทางเลือกเพิ่มขึ้น สำหรับการจะตัดสินใจลงทุนสร้างบ้านหลังใหม่ โดยไม่ต้องกังวลหรือไม่เสี่ยงกับการถูกโกงหรือถูกทิ้งงานเช่นในอดีต ทั้งนี้ ในส่วนของสมาคมฯ เองในฐานะที่เป็นหน่วยงานส่งเสริมและสนับสนุน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่สมาชิกและผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ โดยเฉพาะการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดหรือทั่วประเทศในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ที่สำคัญผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดSMEs แต่สามารถฝ่าวิกฤติทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ มากนัก
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit